วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

รัก เมื่อมีผิดพลาดก็ต้องมีคำว่า อภัย

คำว่า "อภัย" เราต้องมีให้กับเขาได้เสมอ ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่
หันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกันถึงแนวทางแก้ไข อย่าไปมองถึงสิงที่ผิดพลาด
เริ่มต้นใหม่ได้ตลอดเวลา
เมื่อมีผิดพลาดก็ต้องมีคำว่า "อภัย" ถึงมันจะหนักขนาดรับไม่ได้
แต่ถ้าอยากให้ผ่านไปได้ด้วยดี ก็ต้องรู้จักคำว่า "อภัย"
สิ่งที่ตามมาคือเขาจะสำนึก และ ให้เกียรติเรา
เราจะบอกเสมอผ่านมาแล้วผ่านไป มองไปข้างหน้าว่าเราจะทำอะไรให้ดีขึ้น
ผิดแล้วก็แก้ไขให้มันดีขึ้น
ถ้าเราไม่ให้อภัยเขา เราก็เลิกกัน พอเลิกกันเราก็เศร้าอยู่คนเดียว พวกผู้ชายมันไม่เศร้าไปกับเราด้วยหรอก

ข้อความข้างต้นเป็นคำพูดของเพื่อนที่เป็นทั้ง “เพื่อนรักและเพื่อนแท้” ของฉันคนหนึ่ง ที่ปัจจุบันชีวิตคู่ถือว่าสมบูรณ์แบบ เพราะคำว่า “อภัย” กับ คนรักคนเดิมที่กลับกลายมาเป็นสามีที่ดี และ พ่อของลูกที่น่ารัก ซึ่งฉันทั้งดีใจ/ยินดีที่เห็นเพื่อนมีความสุข และ ก็แอบอิจฉานิดๆ (นิดๆ จริงๆ นะ) ... ส่วนตัวฉันยอมรับและก็เห็นด้วย แต่ว่ามันใช้ได้กับบางคนกับบางสิ่งที่ผิดพลาดเท่านั้น

ทุกคนย่อมทำผิดผลาดกันได้ แต่นั้นมันน่าจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้ว หรือ อดีต คือ สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่ทั้งสองฝ่ายจะ “รัก” และ ตกลงที่จะคบหากันมิใช่เหรอ แล้วทำไมเราต้องให้ “อภัย” คนที่ นอกใจ เรา คนที่ทำร้ายความรู้สึก ทำลายความ “รัก” ความไว้ใจ พร้อมสร้างบาดแผลที่แสนเจ็บปวดและทรมาน แม้น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาจะมากมายจนจะกลายเป็นสายเลือดก็ไม่อาจสามารถช่วย ประคับประครองจิตใจที่บอบช้ำนี้ให้ลดน้อยลงได้ แต่แค่เพียงเพราะ “รัก” เท่านั้นกระนั้นเหรอ แล้วอีกฝ่ายหละ ยัง “รัก” กันอยู่จริงๆ เหรอ... ถ้าใช่ทำไมถึงได้กล้าทำร้ายจิตใจของคนที่ตัวเองบอกว่า “รัก”

เหตุใดกันเล่าเพราะ “รัก” เราจึง “อภัย” ให้กับความผิดผลาดที่เรียกว่า นอกใจ นั้น และ ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อเริ่มต้นกันใหม่ ทั้งๆ ที่มิอาจแน่ใจได้เลยว่าอนาคตข้างหน้าอีกฝ่ายจะไม่ทำร้ายจิตใจเราอีก ความรู้สึกหวาดระแวง ความเชื่อใจ มั่นคงใน “รัก” ยังคงกลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ เพราะเราอยู่ไม่ได้หากขาดอีกฝ่าย หรือ เพราะอะไรก็ตาม ซึ่งทุกคนย่อมมีเหตุผลของตัวเอง แต่คงต้องมองความจริงภายใต้เหตุผลที่ว่าต่างฝ่ายยังคง “รัก” กัน ถึงแม้จะไม่รู้ว่า “อภัย” แล้ว สุดท้ายบทสรุปของชีวิตคู่จะจบลงเช่นไร

แม้หากอีกฝ่ายหมด “รัก” เราแล้ว ก็จงให้ “อภัย” และ ปล่อยอีกฝ่ายไปเถอะ อย่ายื้อรั้งไว้ อย่ายึดติดเพียงเพราะต้องการครอบครอง เพราะเรา “รัก” หรือ อีกฝ่ายเป็นของๆ เรา ซึ่งมันอาจจะทำใจยาก และ ไม่รู้ว่าจะต้องทนเจ็บปวดทรมานไปอีกนานแค่ไหน แต่ถึงยังไงตอนนี้เราก็กำลังรับรู้ความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ไม่ใช่หรือ ถ้าเราฝืนมันต่อไปเราต่างหากที่จะเป็นฝ่ายที่ทุกข์ที่สุด ซึ่งเท่ากับเรากำลังทำร้ายตัวเองให้จมอยู่กับความทุกข์ กักขังหัวใจตัวเองให้ยิ่งเจ็บปวดไม่มีทางหาย ปิดกั้นโอกาสที่จะได้พบกับความสุขที่แท้จริงกับคนที่รักเรา หรือ ได้สัมผัสและรู้จักกับคำว่า “รักแท้” อีกเลย

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย

เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น