วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552

ทะเลาะอย่างไรไม่ให้แตกหัก





ช่วย ไม่ได้นี่นา บางครั้งก็โมโหจนอยากกรี๊ดให้บ้านกระเจิง เก็บกดอัดไว้ในอกเพราะต้องการรักษาน้ำใจอีกฝ่ายมาก็มาก คราวนี้ทนไม่ไหวจริงๆ ขอเปิดศึกสักตั้ง แต่เพื่อไม่ให้ถึงขั้นแตกหัก ควรดำเนินการอย่างชาญฉลาดเพื่อให้ความสัมพันธ์ยืนยาวต่อไป

เคารพซึ่งกันและกัน
ขั้น แรกของการราวีกันอย่างได้ผลคือ ต้องทะเลาะแบบให้เกียรติกัน ไม่ใช่ขุดโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลสาวไส้กันถึงบรรพบุรุษเจ็ดชั่วโคตร หลีกเลี่ยงการดูถูกดูแคลน การดุด่าว่ากล่าวตำหนิติเตียน หรือการทำให้อีกฝ่ายอับอายขายหน้าประชาชี เพราะการฟาดฟันกันตัวต่อตัวแบบนี้มักเป็นจุดเริ่มต้นของความเสียหายย่อยยับ ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น และห่างไกลจากคำว่าติเพื่อก่อหลายร้อยโยชน์

แทน ที่จะกล่าวประนามสาดเสียเทเสีย สู้หาเรื่องยกยอสรรเสริญเวลาเขาทำดีจะสวยกว่า เช่น เวลาเขามาสาย ทั้งที่เราอยากจิกกัดเขาให้สาแก่ใจ เราควรระงับอกระงับใจ แล้วเอ่ยชมอย่างปลาบปลื้มเวลาเขามาตรงเวลา กลเม็ดแบบนี้จะช่วยให้เขาชอบมาทันเวลาเพราะอยากได้คำชม แทนที่จะฝืนใจมาให้ทันเพราะกลัวถูกด่า

พูดให้ตรงจุดอย่าเลื่อนเปื้อนไปเรื่องอื่น
ตอน แรกก็พูดกันดีๆ ไปๆมาๆชักเครื่องร้อน เพราะเริ่มเอ่ยประโยคต้องห้ามอย่างเช่น “คุณไม่เคยอย่างโน้น…..อย่างนี้” ประโยคแบบนี้มีแต่พาให้บรรยากาศตึงเครียดเปล่าๆ เคล็ดลับมีง่ายๆ เหนือสิ่งอื่นใด ควรระลึกเอาไว้ให้ขึ้นใจว่า อดีตก็ควรทิ้งไว้ในอดีต อย่าเอามามั่วกับปัจจุบัน ทันทีที่เริ่มเปิดศึกก็ควรจดจ่ออยู่แต่เหตุการณ์เฉพาะหน้าและเรื่องที่ ตั้งใจสะสางเท่านั้น ห้ามเผลอเจาะเวลาหาอดีตให้บรรยากาศลุกลามใหญ่โตเกินกว่าที่ตั้งใจไว้ การถกกันหลายหัวข้อ รังแต่จะฉุดให้เราออกนอกลู่นอกทาง ไกลจากหนทางแก้ปัญหาจนกู่ไม่กลั

ตั้งกฎ
การตั้งกฎหรือ ตั้งขอบเขตเป็นการดับไฟแต่ต้นลม ช่วยให้เรื่องราวไม่ลุกลาม บางคู่ตั้งกฎไว้น่ารัก อย่างเช่น ทุกครั้งที่ร่ำๆจะทะเลาะกันก็จะออกไปเดินเล่นด้วยกัน หรือใช้วิธีหลีกลี้หนีหน้ากันไปสักชั่วโมงสองชั่วโมง แล้วค่อยกลับมาเจอหน้ากันเมื่อรู้สึกว่าอารมณ์ค่อยลดความระอุลงแล้ว ลองคิดหาวิธีดูก็แล้วกัน รักชอบแบบไหนเลือกดู ขอรับรองว่าเคล็ดลับนี้ไม่มีอันตรายใดๆทั้งสิ้น

ควบคุมความโกรธ
ต้อง ยอมรับว่า เราทุกคนมิใช่นางฟ้านางสวรรค์ หรือนางเอกละครบางช่องที่ไม่เค้ยไม่เคยแสดงอารมณ์โกรธ เอาแต่สะอื้นฮักๆ ร่ำไห้กระซิกๆ เราคือปุถุชนคนธรรมดาที่บางครั้งเผลอน็อตหลุด หมดความอดทนจนระเบิดอารมณ์เข้าใส่กัน หากศึกครั้งนี้เริ่มด้วยการตะเบ็งเสียงว้ากเข้าใส่กัน คงต้องท่องเอาไว้ในใจว่า ให้รีบปลีกวิเวกหามุมสงบ ก่อนที่จะเผลอพูดสิ่งที่ทำให้เสียใจในภายหลัง แล้วค่อยกลับมาเจอหน้ากันใหม่ โปรดจำเอาไว้ว่า สิ่งที่ตามมาหลังเสียงกรี๊ดคือตัวการสร้างความเจ็บช้ำให้ทุกฝ่าย

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก





ผู้ชาย ของคุณบางครั้งก็ไม่รู้ตัวว่า ท่าทางหรือกิริยาบางอย่างของเขากำลังเผยพิรุธให้สาว ๆ ขับโกหกได้มากเพียงใด เพราะบางครั้งสาว ๆ เองก็ไม่ทันได้สังเกต

ดังนั้นวันนี้มี 9 เทคนิคง่าย ๆ มาฝากสำหรับการจับสังเกตอาการโกหกของผู้ชายของคุณมาฝาก

ข้อที่ 1 สังเกตที่ขาของเขาดี ๆ ยางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่

ดูให้ดีว่า ระหว่างที่คุณกัน หาก หนุ่ม ๆ ของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบ ๆ เก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่ม ๆ ของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

ข้อที่ 2 การนิ่งเงียบ

เมื่อ ไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรง ๆ บางอย่างกับเขา เช่น "เมื่อคืนคุณไปไหนมา" หรือ "คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่" ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศ


ถ้าเขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วหล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตะหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่าจะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

ข้อ 4 เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลัง

ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียบลำดับเหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าให้โกหกแบบ d c b a คงเป็นไปไม่ได้เลย




ข้อ 5 อาการยักไหล่

ถ้า หนุ่ม ๆ กำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น “ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้” พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างนึงหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่ง ที่พูดไป

ข้อ 6 คำว่า “แต่” เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเรา


ลองดูประโยคเหล่านี้ “ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่...” หรือ “คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่...” ขอให้รู้ว่าคำพูดใด ๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป็นการโกหกคำโต

ข้อ 7 ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหก

ถ้า คุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

ข้อ 8 เขาพยายามจ้องตาคุณ
มากจนผิดสังเกต

บาง ครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริง ใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ข้อ 9 การใช้มืออำพราง


ส่วนใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมาปากของเขา

แฟนเก่า คือ ......

แฟนเก่าคือ คนที่ในอตีดเค้าคือ นางฟ้า/ฮีโร่ ในใจคุณ
แต่ปัจจุบันเค้าคือ นางปีศาสร้าย/นายยมฑูต

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยคิดว่าเค้าน่ารักที่สุด(ในสายตาคุณ)
แต่ปัจจุบันเค้าคือ...(แล้วแต่จะคิดค่ะ)ทั้งๆที่หน้าตาก้อไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยอยากเห็นหน้าเค้ามากที่สุด
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่คุณเห็นหน้าแล้วอยากจะเดินเข้าไปตบ/ต่อยซักที

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยคิดถึงมากที่สุด
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่ใครพูดถึงให้คุณได้ยินแล้วอยากจะเดินข้าไปด่า

แฟนเก่าคือ คนที่เคยสอนให้คุณรู้จักคำว่ารั
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่สอนให้คุณรู้จักคำว่าเกลียด

แฟนเก่าคือ คนที่เวลาหนังเข้าคุณจะนึกถึงเค้าเป็นคนแรก
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่ทำให้คุณไม่อยากดูภาคต่อไปของหนังเรื่องนั้น

แฟนเก่าคือ คนที่ทำให้คุณมองโลกสดใส(สีชมพู)
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่ทำให้คุณฟังเพลงอกหักได้เพราะขึ้น

แฟนเก่าคือ คนที่ทำให้คุณอยากไปโรงเรียน(อยากเจอกันทุกวัน)
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่ทำให้คุณไม่อยากไปโรงเรียน(ไม่อยากเจอหน้ามัน)

แฟนเก่าคือ คนที่สอนให้คุณเข้าใจสัจธรรมของคำว่าเข้าใจกันและกัน
แต่ปัจจุบันเค้าคือคนที่สอนให้คุณเข้าใจสัจธรรมของคำว่าเลิกลา

แฟนเก่าคือ คนที่เคยเป็น "แฟนฉัน"
แต่ปัจจุบันเค้าคือ "แฟนคนอื่น"

แฟนเก่าคือ คนที่ทำให้คุณหัวเราะได้
แต่ปัจจุบันเค้าคือ คุณที่ทำให้คุณรู้จักคำว่า 'เหงา'

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยรัก
แต่ปัจจุบันเค้าคือ คนที่ทำให้คุณคิดว่า 'เคยรักมันไปได้ยังไง' (เห็นธาตุแท้)

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยคิดว่าอยากอยู่ด้วยกันตลอดไป
แต่ปัจจุบันเค้าคือ คนที่ทำให้คุณคิดว่า 'เคยอยู่กับมันไปได้ยังไง' (เบื่อหน้ามัน)

แฟนเก่าคือ คนที่ทำให้คุณมีความสุขกับความรัก
แต่ปัจจุบันเค้าคือ คนที่ทำให้คุณเข็ดกับการมีความรัก/หาใหม่ให้ได้ดีกว่านี้

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยเบื่อที่จะตอบคำถาม ไปไหนมา ไปกับใคร ไปที่ไหน ไปทำไม
แต่ปัจจุบันเค้าคือ คนที่คุณรอคอยว่าสักวันเค้าจะกลับมา

แฟนเก่าคือ คนที่คุณเคยพูดถึงเสมอว่า เบื่อ
แต่ปัจจุบันถ้าคุณยังพูดถึงเค้าเสมอนั้นหมายถึงว่า คุณยังลืมเค้าไม่ลง

และสุดท้ายถ้าคุณเข้ามาอ่านบทความ 'แฟนเก่า' นี้นั้นแสดงว่าคุณ ยังคิดถึงเค้าอยู่


ปล. แฟนเก่าคือคนที่สอนให้คุณเป็นคนปากกับใจไม่ตรงกันปากก็บอกว่าเกลียดๆทั้งที่ในใจอาจจะ
ยังรักเค้าอยู่

ความลับ - ความรัก

ความลับ... ได้ยินว่ามักเป็นสีดำ
ความรัก... จำได้ว่าเป็นสีชมพู

ความลับ... ต้องกระซิบข้างข้างหู
ความรัก... อาจรับรู้ได้ด้วยหัวใจ

ความลับ... ต้องมีการวางแผน
ความรัก... จะกี่หมื่นแสนก็ยังยิ่งใหญ่

ความลับ... ถ้าบอกจะไม่ลับอีกต่อไป
ความรัก... ได้ฟังเมื่อไหร่ก็ยังคงงดงาม

ความลับ... ฟังแล้วอาจสงสัย
ความรัก... มักไม่ต้องมีคำถาม

ความลับ... ต้องเก็บให้ดีคือคำนิยาม
ความรัก... อาจไม่ต้องให้คำจำกัดความมาปะปน

ความลับ... จะไม่บอกให้ใครรู้
ความรัก... อยากให้ได้ฟังอยู่...ก็สุขล้น

ความลับ... เข้าไปมากจะวกวน
ความรัก... แค่อยู่ในใจใครสักคน...ก็เพียงพอ


2 คำที่มีความหมาย..

หนึ่งคำ.....มาจากความรู้สึกทั้งหมดที่มี...
อีกหนึ่งคำ....มาจากความรู้สึกผิดในสิ่งที่ทำ...

"รัก"
คำนี้จะมากด้วยความหมาย...
...ถ้าออกมาจาก"หัวใจ"จริง-จริง
เอ่ยคำ-คำนี้ ให้คนของใจ มากแค่ไหนกัน?
บางคนเก็บไว้.....ทั้ง-ทั้ง ที่อีกฝ่ายต้องการที่จะได้ยิน...
บางคนบอกบ่อยเกินไป....จนอีกฝ่ายรู้สึกว่าง่ายเกินไป...

บอกรักแค่ไหนกัน ถึงจะพอดี...
คิดว่า.....คงต้องดู"คนของใจ"เป็นสำคัญ
ความใส่ใจในตัวเขาทั้งการกระทำและความรู้สึก...
....จะทำให้เรารู้จักเขาเป็นอย่างดี
และก็จะรู้ว่าเราควรจะบอกรักได้บ่อยมากแค่ไหน

บางทีความใส่ใจเล็ก-เล็ก...น้อย-น้อย
....ที่หลาย-หลายคนมองข้ามไป.....
อาจกลายเป็นส่วนหนึ่ง...ที่ทำให้เขาประทับใจในตัวเรา
...แบบไม่มีวันลืมก็ได้.....


"ขอโทษ"
คำนี้เป็นคำที่สามารถสานสายสัมพันธ์ได้อย่างน่าอัศจรรย์...
ไม่เข้าใจกัน..........ขอโทษเพื่อปรับความเข้าใจกัน
เข้าใจผิดกัน.........ขอโทษพร้อมคำอธิบาย
แต่เช่นกันกับคำว่ารัก....
ถ้าออกมาจาก"หัวใจ" จริง-จริง...
ถ้าไม่บอกบ่อยครั้ง....จนเกินความพอดี...
ถ้าไม่เคยเอ่ยออกมาเลย.....เพราะทิฐิที่มี....

ฉันรู้แต่ว่า.....ถ้าฉันทำให้เขาโกรธ...
ฉันจะขอโทษ.....และอธิบายให้เข้าใจ
ฉันจะพูดเพื่อความเข้าใจกัน....
ฉันจะพูดเพื่อความรักของเรา....

กว่าเราจะคบกันมาได้นานและรักกันได้อย่างนี้....
ถ้าต้องจบลงเพราะเรื่องเดิม-เดิม แต่ละเลยที่จะปรับความเข้าใจกัน....
คงต้องถามตัวเองแล้วว่า.....
นี่เราไม่ได้รักเขาเหรอ.....
นี่เราไม่ได้ใส่ใจความรักของเราเหรอ....
เพียงแต่พูดคำว่า"ขอโทษ"พร้อมกับ"คำอธิบาย"....ไม่กี่ประโยค
ทำไม่ได้เหรอไง...

ความผิดที่ดูว่ามากมาย.....และเราก็รู้สึกผิดมากเช่นกันนั้
บางครั้งก็สามารถแก้ได้ด้วยคำว่า"ขอโทษ"เพียงคำเดียว....

ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนแล้วว่าจะใช้คำว่า"รัก..." และ "ขอโทษ...."
ให้มากค่าแค่ไหน.........ระหว่างใจ 2 ใจ....
ให้บ่อยครั้งมากแค่ไหน....ในช่วงเวลาที่คบกัน
แต่เชื่อเถอะว่า.....คำ 2 คำ นี้....
ให้ผลทางบวกระหว่างคน 2 คน ได้เป็นอย่างดี....

ข้อดีของความทุกข์

1.ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น
2.ทำให้รู้ถึงค่าของความสุข
3.ทำให้เรามีความสามารถมากขึ้น
4.ทำให้เรามีสิ่งที่ต้องทำ(ทำเพื่อให้หายทุกข์ )
5.ทำให้เรามีประสบการณ์ในการแก้ปัญหามากขึ้น
6.ทำให้เรามีความอดทนมากขึ้น
7.ทำให้ความสุขมีค่ามากขึ้น
8.ทำให้มีความระมัดระวังมากขึ้น
9.ทำให้เรามองโลกกว้างมากขึ้น
10.ทำให้เราเห็นได้ว่าใครคือคนที่เป็นที่พึ่งยามยากของเรา
11.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่ห่วงเรา
12.ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครบ้างที่เป็นมิตรแท้ของเรา
13.ทำให้รู้ได้ว่าเพื่อนของเรามีความสามารถแค่ไหน
14.ทำให้เรารู้ว่าใครมีความสามารถขนาดไหน
15.ทำให้เรารู้ได้ว่ามีคนไหนที่รักเราจริง
16.ทำให้เรารู้ว่าการหัวเราะเป็นสิ่งจำเป็น
17.ทำให้เราพยายามที่จะมองโลกในแง่ดีมากขึ้น
18.ทำให้เรามาค้นหาข้อดีของความทุกข์


ลดลงแต่กลับได้มากขึ้น

หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณอาจได้บางสิ่งกลับมามากขึ้น

~* ลดลงแต่กลับได้มากขึ้น *~
หากลดบางอย่างให้น้อยลง คุณอาจได้บางสิ่งกลับมามากขึ้น

- ลดความโกรธให้น้อยลง ผมได้สติกลับมามากขึ้น
- ลดค่าใช้จ่ายให้น้อยลง ผมได้เงินเก็บมากขึ้น
- ลดความคิดที่จะหาคนที่ถูกน้อยลง ผมได้คำตอบสำหรับทำเรื่องที่ถูกต้องมากขึ้น
- ลดการพูดให้น้อยลง ผมทำหลายอย่างได้มากขึ้น
- คิดถึงคนที่ผมรักให้น้อยลง ผมเข้าใจคนที่ผมรักได้มากขึ้น
- รักตัวเองให้น้อยลง คนอื่นรักผมมากขึ้น
- พูดให้ร้ายคนอื่นน้อยลง มีคนพูดถึงผมในแง่ดีมากขึ้น
- แสดงความฉลาดให้น้อยลง ผมได้ความรู้เพิ่มมากขึ้น
- ออกนอกบ้านให้น้อยลง ผมได้ความอบอุ่นในครอบครัวมากขึ้น
- นอนให้น้อยลง ผมทำหลายอย่างได้มากขึ้น
- คิดเรื่องเครียดให้น้อยลง ผมยิ้มได้มากขึ้น
- ลดความอายให้น้อยลง ผมได้ความกล้ามากขึ้น
- ดูละครน้อยลง ผมอ่านหนังสือได้มากขึ้น
- ผมวิ่งให้ช้าลง ผมมองเห็นคนข้างหลังมากขึ้น
- เชื่อให้น้อยลง ผมมองเห็นอะไรได้มากขึ้น
- ลดทิฐิให้น้อยลง ผมรู้จักอภัยมากขึ้น
- กระโดดให้น้อยลง ผมเดินได้มั่นคงมากขึ้น
- กินให้น้อยลง ผมอิ่มได้มากขึ้น
- ก้มหน้าให้น้อยลง ผมมองเห็นได้ไกลขึ้น
- พักเหนื่อยให้น้อยลง ผมรู้จักความสบายมากขึ้น
- เห็นแก่ตัวให้น้อยลง มีคนรอดชีวิตมากขึ้น
- แบกของหนักให้น้อยลง ชีวิตผมเบามากขึ้น
- ทะเลาะกับเด็กให้น้อยลง ผมโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
- ทะเลาะกับผู้ใหญ่ให้น้อยลง ผมได้รับการเอ็นดูมากขึ้น
- เป่าลมออกให้น้อยลง ผมสูดลมเข้าได้มากขึ้น
- แอบฟังให้น้อยลง ผมได้ยินอะไรมากขึ้น
- ผมคิดคำถามให้น้อยลง ผมเห็นคำตอบมากขึ้น

. . . . . . . . . แล้วคุณลดอะไรบ้างแล้วละ . . . . . . . . .



ทำไมหมื่นตา ถึงมีตาเดียว


เมื่อสิ้นหวัง


หมื่นตามีตาเดียว

ขอขอบคุณเรื่องและภาพวาดโดย กะก๋า ศิษย์เจ้าแม่ตะเพียนทองคะนองเดช
เรื่องและภาพโดย ก๋าศักดิ์ ศิษย์ครูคะนอง


หลายครั้งที่เราได้อ่านและนำเสนอบทความ ข้อคิดดีๆ จากหมื่นตา แต่ก็แอบสงสัยว่าเหตุใดหมื่นตาจึงมีตาเพียงตาเดียว แล้วทำไมจึงตั้งชื่อว่า "หมื่นตา" วันนี้ หมื่นตา ได้ไขข้อข้องใจนั้นว่าเป็นเพราะดวงตาหนึ่งเดียวที่มีนั้นมิได้ต้องการสื่อ แทนดวงตาถึงหมื่นที่รู้เยอะ เห็นเยอะ รับข่าวสารเยอะ หรือประจักษ์เรื่องราวต่างๆ ได้ดีกว่าคนอื่น...

หากแต่ดวงตาหนึ่งเดียวของหมื่นตานั้น...มีไว้เพียงเพื่อย้อนดูตัวเอง และย้ำให้เรารู้ว่าไม่ว่าจะรับรู้สิ่งใด มากมายขนาดไหน ก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่เรารู้จักตัวของเราเอง


หมื่นตา

หมื่นตา

หมื่นตา

หมื่นตา

หมื่นตา

หมื่นตา

หมื่นตา

วิธีแก้...... งอน

เป็นโรคระบาดที่ร้ายแรง
ติดต่ออย่างรวดเร็วขยายตัวเป็นวงกว้างในแนวราบ
ยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษา
และไม่พบหลักฐานที่แน่นอน ว่าผู้ใดนำเชื้อมาปล่อย

ผู้ป่วยมีอาการหน้างอ และบางรายที่อาหารหนัก
จะมีอาการหน้าดำแทรกซ้อนด้วย
หูแข็ง ฟังอะไร ขัดหูขัดใจไปหมด
ตาขวาง น้ำลายไหลเล็กน้อยพองาม
โรคนี้ส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูง มือไม้สั่น
ผู้ป่วยที่อาการหนัก อาจถึงขั้นชักดิ้นชักงอ



@ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น @

ควรสังเกตอาการผู้ป่วย ว่างอนอยู่ในระดับไหน
ถ้างอนน้อยๆ ให้รีบง้อ
ผู้พบเห็นทั่วไปควรเอาใจใส่ต่อผู้ที่ติดเชื้อในระยะเริ่มแรก
จะทำให้อาการไม่ลุกลาม และสามารถรักษาหายได้

สำหรับผู้ป่วยที่อาการหนัก
ผู้ง้อควรได้รับการฝึกสอน และเป็นผู้ชำนาญการง้อเป็นพิเศษ
เพราะผู้ป่วยจิตใจอ่อนแอ เปราะบางแตกหักง่าย
ต้องการความเอาใจใส่

หลังได้รับการรักษา ผู้ป่วยที่หายแล้ว
ยังสามารถอาการกำเริบได้ทุกเวลา
ผู้ใกล้ชิดต้องให้ความรัก และความเข้าใจ
หากความรักและความเข้าใจลดน้อยลงเมื่อไหร่
อาการงอนจะกำเริบ




* หมายเหตุ

พบมากในกลุ่มคนที่มีความสวย และความน่ารัก
สำหรับผู้ไม่สวย และไม่น่ารัก
จะเรียกอาการเดียวกันนี้ว่า น่าเบื่อ น่ารำคาญ
จะปล่อยไปตามยถากรรม
ไม่มีการปฐมพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น
จนกว่าอาการจะหาย หรือตายไปเอง...

หนุ่มเข็ดสาว เพราะอะไรน้อ






ขณะ ที่สาวๆ อึ้งกิมกี่กับนิสัยไม่ชอบมาพากลบางอย่างของผู้ชาย แต่หนูรู้มะว่า หนุ่มๆก็ระอาและอ่อนใจกับพฤติกรรมประหลาดแหวกตลาดของสาวๆเหมียนกัน เพราะมนุษย์ย่อมมีนิสัยและการกระทำทั้งแสนดีและน่าหมั่นไส้ทุกคนนี่นา แต่ใครจะมีด้านไหนมากหรือน้อยก็ตัวใครตัวมันละกันนะ หากมีพฤติกรรมเพี้ยนๆ แต่กระเดียดไปทางน่ารักและยังน่าคบอยู่ก็แล้วไป ขืนเพี้ยนหนักเกินไป ฝ่ายชายก็อดตะลึงตึงตังกับพฤติกรรมของสาวเจ้าไม่ได้เช่นกัน ว่ามะ




งั้นมาดูกันว่า มีนิสัยและพฤติกรรมของสาวๆตรงไหนบ้าง ที่หนุ่มแอบเห็น แล้วอดเอือมระอาปนเวทนาไม่ได้ ซึ่งหากเค้าเล็งจะจีบคุณ ก็อาจเลิกความตั้งใจไปเลยก็ได้ โอ้โห ฟังแล้วแทบจับไข้มะ พฤติกรรมน่าหน่าย อย่างเช่น...


1. งมงายกับเรื่องไร้สาระ ควรถอยห่างมากกว่าอยู่ใกล้นะ

ถ้า ชื่นชอบการดูหมอยังไม่เท่าไหร่ ถือเป็นความอยากรู้อยากเห็นชนิดนึง แถมยังชวนให้เพลิด เพลินเจริญใจด้วยแต่หากสาวคนนั้นดันเป็นสาวกของลัทธิพิสดาร จนหลงเชื่องมงายและคลั่งไคล้เข้าอย่างจังประหนึ่งว่าลัทธินี้สอนให้หล่อน ดำเนินชีวิตผิดแผกแตกต่างไปจากคนธรรมดาเข้าละก็ ต๊ายตาย คิดดูสิฮ้า ว่าหนุ่มคนไหนอยากเข้าใกล้ ผู้หญิงเพี้ยนๆ แถมอารมณ์แปรปรวนฟะ แม้ลัทธิอะไรเนี่ยจะสอนให้เป็นคนดีก็เถอะ แต่ไหงเธอดันทำตัวคล้ายแม่มดวูดูไปซะได้ก็ไม่รุ ขนาดแค่เดินผ่านยังรู้ว่ายายนี่มีรังสีอำมหิตแฝงอยู่ แล้วน่าชวนให้เข้าใกล้รึ บอกหน่อยเด๊ะ


2. หลุดปากพูดคำหยาบออกมา

ถ้า หล่อนพูดคำหยาบในหมู่เพื่อนฝูงก็ไม่ เป็นไร แต่หากหล่อนใช้ “คำพูดแบบเป็นกันเองนี้” กับหนุ่มที่เป็นแฟนบ่อยๆ จนติดเป็นนิสัยละก็ เฮ้อ! มีสิทธิ์ทำให้ฝ่ายที่ฟังปวดหูและขัดเคืองใจเอานะยะ เพราะถ้าสาวๆ อยากมีแฟนที่ไม่หยาบกระด้างเกินไป ผู้ชายก็มีสิทธิ์อยากอยู่ใกล้สาวที่พูดเพราะๆ และไม่ทำให้เค้าแสลงหูมั่งละว้า แม้บางคนอยากมีแฟนเป็นเพื่อนก็เหอะ แต่ไม่ได้อยากให้แฟนมาพูดจาสมัยพ่อขุนหรือฉิบหง ฉิบหาย แบบที่เพื่อนพูดกันซะหน่อย ระวังนะ ขืนพูดฉิบ....บ่อยๆ เดี๋ยวได้เดือดร้อนไปถึงชีวิตรักด้วยหรอก งั้นพูดอะไรที่ฟังแล้วน่าเอ็นดูดีกว่าเนาะ


3. หวังตักตวงเงินทองของเค้า เพราะนึกว่ากระเป๋าของเค้าเป็นกระเป๋าของหล่อนไปซะนี่ ทั้งที่เค้าไม่เคยตกลงด้วยซะหน่อย

แล้ว เรื่องเงินทองน่ะไม่เข้าใครออกใครก็รู้กันอยู่แล้ว ต่อให้ชายพยายามทำตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มแค่ไหน ก็ใช่ว่า ฝ่ายหญิงจะเข้าไปก้าวก่ายเงินทองของเค้าทุกบาททุกสตางค์ได้นะ หนุ่มยุคนี้น่ะ ไม่อยากให้แฟนของตัวอยู่บ้านเฉยๆ แล้วรอเงินจากเค้าเพียงฝ่ายเดียวหรอก เพราะผู้ชายทุกคนไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดนี่หว่า เห็นมะแม้แต่บรรดาไฮโซยังสอนให้ลูกทำงานทำการ ไม่ใช่ เอาแต่นั่งกินนอนกินมรดกไปวันๆ แหม้...เห็นเค้าเป็นตู้เอทีเอ็มเคลื่อนที่ไปได้ เออ ถ้าสาวคนนั้นยังเอ๊าะๆอยู่ แล้วให้เสี่ยเลี้ยงก็ว่าไปอย่าง แต่หากวันใดไม่เอ๊าะแล้วจะรู้สึก!


4. ขืนเชี่ยวชาญเรื่องทางเพศ ก็รับไม่ได้

ตอน ไม่ได้ชวนกันไปเริงรัก เค้าอาจยังเห็นหล่อนเป็นสาวหงิมๆ ติ๋มๆ อยู่เลย แต่พอชวนกันไปเอ็กเซอร์ไซส์ในที่ลับตาละก็ อู้ย...หล่อนจะเปลี่ยนเป็นคนละคนเลยเชียว ทำหยั่งกะว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญในลีลาร้อนรักซะเต็มประดา โอ้โห ขืนเจอแบบนี้ หนุ่มๆคงอดคิดไม่ได้แหงๆ ว่าหล่อนผ่านมือชายมากี่คนแล้ววะเนี่ย? ถึงได้คล่องแคล่วกับงานบนเตียงอย่าให้เซด เพราะผู้ชายน่ะ ยังไงก็ยังอยากมีแฟนเป็นสาวพรหมจรรย์ หรืออย่างน้อย ก็ไม่ควรเร่าร้อนกับเรื่องเอ็กซ์ๆ เซ็กซ์ๆ เกินกว่าที่เค้าจะรับไหวอ่ะดิ่


5. เห็นเค้าเป็นตัวตลก จึงชอบแกล้งให้ หน้าแหกบ่อยๆ

สาว บางรายที่สวย เริ่ด เชิด หยิ่ง เวลามีผู้ชายมาจีบนะ ถ้าหล่อนไม่ชอบ ก็จะทำเป็นไม่สน ซึ่งตรงนี้ว่ากันไม่ได้ ในเมื่อไม่ถูกใจ จะชิ่งหนีซะอย่างก็ทำได้อยู่แล้ว แต่หากหล่อนยังแกล้งทำเป็นเออออห่อหมกกับเค้า เพื่อทำให้เค้าดูเป็นตัวตลกในหมู่ เพื่อนๆของเธอ ด้วยการใช้ให้ทำนู่น ทำนี่ให้หล่อนเสมอ แต่ไม่เคยขอบคุณเค้าสักคำ เอ้า ก็อยากมาชอบชั้นเองนี่หว่า...ก็เว่อร์ไปนะตัว โถ หากไม่รักไม่ว่า แต่ไม่ต้องไปลวงเค้าให้หลงผิด ได้ปะ มันเจ็บกระดองใจนะฮับ มาโดนมั่งมะ


6. ชอบตั้งวงซุบซิบนินทา ปากอยู่ไม่สุขนั่นแหละจ้ะ

ข้อ นี้ใช่ว่า ผู้ชายบางคนจะไม่ชอบนะ ที่จริงก็ชอบฟังเรื่องซุบซิบเช่นกัน แต่ให้ไปนั่งเม้าท์กับเพื่อนหญิงของหล่อนทุกครั้งที่พวกเธอมาเจอกันคงเป็นไป ไม่ได้ เพราะเค้าอยากจับกลุ่มนินทากับเพื่อนเพศเดียวกันมากกว่าไง...เอ้ย เพราะหนุ่มบางคนไม่สนเรื่องซุบซิบนินทาเอาซะเลยน่ะซี ดังนั้น ผู้ชายส่วนใหญ่จึงมองว่า ควรเอาเวลาของการซุบซิบนินทาไปทำอย่างอื่นดีกว่ามั้ย? อ้อ ขอประท้วงค่ะท่านประธาน เพราะสาวๆที่ไม่ชอบนินทาชาวบ้านก็มี นินทาไปก็เสียเวลาเปล่าๆ สู้อ่านหรือติดตามรายการทีวีเอาก็ได้ มีคนป้อนให้ถึงบ้านแล้ว ได้หูผึ่งและตาโตเป็นไข่ห่านคราวนี้แหละ


7. ขี้หึงเกินลิมิต

ใคร ไม่รู้มั่งเหรอว่าผู้ชายน่ะเจ้าชู้ ถ้าเค้าไม่ชอบให้สาวๆทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของก็อย่าไปทำให้เค้าอึดอัดเลย ทางที่ดีอย่าทำให้เค้าหึงหล่อนจะดีกว่านะ เพราะเห็นหนุ่มๆ หึงแรงกว่าผู้หญิงตั้งแยะ ที่จริงเห็นใจคนมีแฟนแหละ ว่าอดจะแสดงความห่วงหวงหวานใจของตัวไม่ได้ งั้นหึงได้แต่พอเป็นพิธี เพราะความรักนั้นควรให้อิสระและเชื่อใจกันน่ะสิฮ้า.

10 วิธีเผาผลาญพลังงาน






ใน แต่ละวันถ้าคุณมีโอกาสได้ทำกิจกรรมต่างๆ บ้าง ก็จะเป็นหนทางหนึ่งที่ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานส่วนเกินที่สะสมจากอาหารที่ กินเข้าไปได้ แม้คุณจะไม่ได้ออกกำลังกายจริงจังอย่างการเล่นกีฬา แต่ก็ได้ขยับกล้ามเนื้อแขนขา แถมยังลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจและกระดูกพรุนอีกต่างหาก วันนี้มีกิจกรรมง่ายๆ ที่คุณอาจมองข้ามมาแนะนำ ว่ากิจกรรมแบบไหนที่คุณน่าจะทำได้บ้าง

เดินคุยโทรศัพท์แทนที่จะนั่งเฉยๆ

สำหรับ คนที่ทำงานนั่งโต๊ะ ระหว่างโทรศัพท์ควรจะลุกจากที่นั่งที่คุณจุมปุ๊กมาทั้งวัน แม้ไม่ได้ใช้พลังงานมากนักแต่ก็ทำให้คุณได้ขยับแข้งขา เพิ่มการไหลเวียนของเลือด การเลือกโทรศัพท์ไร้สายมาใช้จะช่วยได้มาก

เดินไปส่งเอกสารด้วยตัวเอง

บาง ครั้งที่คุณต้องการส่งเอกสารไปแผนกอื่น หรือต้องเดินข้ามชั้นหากที่ทำงานมีขนาดใหญ่ แทนที่จะใช้คนอื่นคุณควรลุกขึ้นเดินไปส่งเอกสารเหล่านั้นด้วยตัวเอง นอกจากจะได้ออกแรงหรือขึ้นลงบันไดแล้ว ยังได้ของแถมเป็นโอกาสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับเพื่อนร่วมงานอีกต่างหาก

หาเวลาว่างเดินช็อปปิ้ง

การ เดินตามห้างสรรพสินค้าหรือตลาดนัด ในช่วงวันหยุด ไม่เพียงเพลินตาสบายใจเท่านั้น ยังได้ออกกำลังกายแบบไม่รู้ตัว และถ้าได้เดินห้างตลอดบ่ายวันเสาร์เท่ากับคุณเดินไม่หยุดถึง 4-5 ชม.เลยทีเดียว จะให้ดีควรสวมเสื้อผ้าสบายๆ ใส่ถุงเท้ารองเท้ากีฬา จะช่วยให้เดินได้สะดวกยิ่งขึ้น

ทาสีบ้าน

การทาสีบ้านจะผลาญพลังงานประมาณ 300 แคลอรี/ชม. แถมยังได้ออกกำลังแขนและลำตัวอีกต่างหาก

ออกกำลังกายขณะทำความสะอาดบ้านให้เอี่ยมอ่อง

หากคุณทำความสะอาดบ้านในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ นอกจากบ้านจะน่าอยู่แล้ว ยังได้เผาผลาญพลังงานถึง 420 แคลอรี/ชม. อีกด้วย

ทำสวนตัดหญ้า

สำหรับ คนที่บ้านมีบริเวณ การทำสวน พรวนดิน ปลูกต้นไม้ จะใช้พลังงานถึง 360 แคลอรี/ชม. พอๆ กับการเล่นแบดมินตัน หากสนามกว้างหน่อยใช้รถตัดหญ้าก็จะช่วยผลาญพลังงานได้ถึง 420 แคลอรี/ชม. พอๆ กับเล่นเทนนิสเลยทีเดียว

เดินหาที่กินไกลออฟฟิศ

ช่วง พักกลางวันควรเดินไปหาของกินอร่อยๆ ไกลออฟฟิศอีกนิด อย่างน้อยก็ช่วยให้คุณได้ใช้พลังงานจากอาหารที่กินเข้าไป ลดการสะสมไขมันได้บ้าง

ใช้ตะกร้าแทนรถเข็นในซูเปอร์มาร์เก็ต

หาก ต้องการซื้อของเพียงไม่กี่ชิ้น ควรใช้ตะกร้าแทนรถเข็น หรือถ้าถือได้ก็ถิอเอง เพื่อให้แขนได้ออกแรงยกของระหว่างเดิน ซึ่งจะช่วยเผาผลาญพลังงานเสมือนกับการเล่นเวท แต่อย่าลืมสลับข้างเพื่อให้แขนและไหล่ทั้ง 2 ข้างได้ออกแรงเท่าเทียมกัน

ขึ้นบันไดแทนขึ้นลิฟต์

การขึ้นบันไดแต่ละครั้งจะใช้พลังงานประมาณ 10 แคลอรี/ชั้น แล้วยังได้ออกกำลังขาอีกต่างหาก

ใช้รถประจำทางหรือรถไฟฟ้าแทนการขับรถ

เมื่อ ต้องเดินทาง หากเส้นทางที่จะไปอยู่ใกล้รถไฟฟ้า หรือมีรถประจำทางวิ่งผ่าน ให้จอดรถไว้แล้วใช้บริการขนส่งมวลชนดูบ้าง ไม่เพียงประหยัดน้ำมัน ยังได้ออกกำลังกาย แถมได้สัมผัสชีวิตริมทางอีกด้วย





วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวต (สำคัญที่ความหมาย)

ปรัชญาที่ชาวจีนถือว่าเป็นมนตรานำโชคมาสู่ชีวิต
จงให้มากกว่าที่ผู้รับต้องการ และทำอย่างหน้าชื่นตาบาน
จงพูดกับคนที่ถึงแม้จะอายุน้อยกว่า แต่เขาก็มีความสำคัญเท่ากัน
จงอย่าเชื่อทุกอย่างที่ได้ยิน ใช้ทั้งหมดที่มี และนอนเท่าที่อยากจะนอน
เมื่อกล่าวคำว่า "ฉันรักเธอ" จงหมายความตามนั้นจริง ๆ
เมื่อกล่าวคำว่า "ขอโทษ" จงสบตาเขาด้วย
ก่อนจะตัดสินใจแต่งงาน จงหมั้นเสียก่อนอย่างน้อย 6 เดือน
จงเชื่อในรักแรกพบ
อย่าหัวเราะเยาะความฝันของผู้อื่น คนที่ไม่มีฝันก็เหมือนไม่มีอะไร
เมื่อรักจงรักให้ลึกซึ้ง และ ร้อนแรง อาจจะต้องเจ็บปวดแต่นั่นคือหนทางเดียวที่ทำให้ชีวิตถูกเติมเต็ม
ในเหตุการณ์ขัดแย้ง โต้อย่างยุติธรรม ไม่มีการตะโกนใส่กัน
อย่าตัดสินคนเพียงเพราะญาติๆ ของเขา
จงพูดให้ช้า แต่ต้องคิดให้เร็ว
ถ้าถูกถามด้วยคำถามที่ไม่อยากตอบ จงยิ้มแล้วถามกลับว่า จะรู้ไปทำไม
จงจำไว้ว่า สองสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คือความรัก และความสำเร็จ ล้วนต้องมีการเสี่ยง
พูดว่า ขอพระคุ้มครอง เมื่อได้ยินใครจาม
เมื่อพ่ายแพ้ จงอย่าสูญเสียบทเรียนไปด้วย
จงจำ 3 R :- นับถือผู้อื่น-Respect others นับถือตนเอง- Respect yourself รับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองทำResponsibilities

จงอย่าให้ความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ มาทำลายมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่
ทันทีที่รู้ตัวว่าทำผิด ลงมือแก้ไขทันที
จงยิ้มเวลารับโทรศัพท์ ผู้ฟังจะเห็นได้จากน้ำเสียงของเรา
จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง



ส่งต่อข้อความนี้ไป 4 คน ชีวิตของคุณจะดีขึ้น

5-9 คน ชีวิตคุณจะดีอย่างใจปรารถนา

9-14 คน คุณจะได้รับความประหลาดใจภายใน 3 สัปดาห์

15 คนขึ้นไปชีวิตของคุณจะเปลี่ยนไปทันทีและสิ่งที่คุณใฝ่ฝันจะก่อรูปก่อร่าง

ข้อดี...ของสุรา(ขำขำ)..อิอิ

เพิ่งค้นพบ ว่าเหล้ามันมีข้อดีมากมายเลยทีเดียว เลยเอามาฝากให้เพื่อนๆอ่านกัน เผื่อใครคิดจะเลิกจะได้กลับตัวทัน เพราะมันมีข้อดีเยอะจริงๆ ค่ะ

1.ทำให้พระมีเรื่องเทศน์ สาธุ๊.........................

2. ทำให้กล้าแสดงออก กล้าพูดกล้าทำ แสดงออกซึ่งเสรีภาพในการพูดสมดังเป็นประเทศประชาธิปไตย (บางรายอาจหนักถึงขั้นกล้าถอดกางเกงในที่สาธารณชน)

3. ทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน สามารถคุยกับทุกคนได้ ไม่มีการแบ่งชนชั้นกัน

4. ทำให้กล้าโทรหาแฟนเก่า หรือคนที่เรารัก

5. ทำให้โถส้วมมีประโยชน์มากกว่าที่เป็น เอาไว้ลองอ้วกได้อีกด้วย (เมาแล้วอ้วกนี่เค้าเรียก "อ่อน" ป่าวอ่ะ)

6. ขวดเหล้าใช้ฆ่าคนได้ ทุบให้แตกแล้วแทงมันเลย

8. ทำให้มุกแป้กๆ กลายเป็นเรื่องฮาได้ตลอด

9. เป็นมุกเก่าๆให้คนเขียนบทละครได้ใช้ตลอด พระเอกได้นางเอก หรือพระเอกได้กะกระเทยก็เพราะเหล้านี่ล่ะ

10. เหล้าทำให้เห็นความรักอันสูงยิ่งที่เพื่อนมีต่อคุณ ยอมตายแทนกันได้ แต่เฉพาะเวลากินเหล้าเท่านั้นล่

11. ทำให้ผู้ผลิตโซดา โค้ก น้ำแข็ง ทำกำไรได้มากขึ้น

12. ทำให้ตำรวจมีงานทำ ตั้งด่านตรวจเมาแล้วขับ

13. ทำให้บางคนเกิดในวงการ เช่น ไอ้ฤทธิ์กินแบล็ค เป็นต้น

14. ทำให้เกิดการรณรงค์ที่ดีหลายอย่าง เช่น เมาไม่ขับ (เลยออกจากร้านมันตอนหกโมงเช้าเลยกลัวเจอด่าน อิอิ )

15. ทำให้ประชากรไม่ล้นโลก

16. เหล้าและเบียร์ทำให้ได้ดูบอลโลกฟรี เพราะเงินที่เราซื้อนี่แหละเอาไปซื้อลิขสิทธิ์บอลโลกให้เราดู

17. ทำให้นอนหลับสนิทสุดๆ

18. ทำให้กล้าทำอะไรบ้าๆบอๆ โดยไม่กลัวขายขี้หน้า เพราะตื่นมาเราจะจำอารายไม่ได้

19. ทำให้มีแฟน หรืออาจเลิกกับแฟนได้ในคืนเดียว

20. ทำให้สิ่งที่กิน บรรดากับแกล้มทั้งหมด ไม่ต้องรอออกทางก้น ไม่ลำบากกระเพาะกับลำไส้

21.ทำให้ทุกคนดูหน้าตาดีกว่าธรรมดา 2 เท่า เพราะเมาตาลาย เจอสาวก็สวยหมดทุกคนอ่ะ

22. ทำให้ศีลครบ 5 ข้อ

23. ทำให้หมาข้างถนนมีเพื่อนมากขึ้น

24. ทำให้รู้สึกรวยกว่าเดิมในตอนนั้น และจะจนกว่าเดิมในวันรุ่งขึ้น ( หาบิลๆๆๆๆ เอาไปเบิกบริษัท )

25. ทำให้ได้ทดสอบความสามารถในการปีนรั้วเข้าบ้าน โดยไม่ทำให้มาม่าหก

26. ทำให้อู่สี มีรายได้ประจำ

27. ทำให้รู้ว่า เอ้ย! เกินแล้วนี่นา บอกไว้ว่ามี 25 ข้อ ขอโทษทีเพลินไปหน่อยอ่ะ

...เฮ้ย นี่แหละน๊า...ทุกอย่างีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย...
...แต่สุราก็ไม่ดีต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต นะค่ะ...


เรื่องขำขำ..2

นิสัย ยอดฮิตของผู้ชายและผู้หญิง

ผู้ชาย--บ้าบอล แถมชอบเล่นพนัน
ผู้หญิง--บ้าดูดวง ถึงจะรู้ว่างมงาย
ผู้ชาย--ชอบดูหนังโป๊
ผู้หญิง--ติดละคร โดยเฉพาะเรื่องน้ำเน่า
ผู้ชาย--เจ้าชู้ เหล่สาวไปทั่ว
ผู้หญิง--ปากกับใจไม่ตรงกัน(ปกติไม่ก็ไม่ตรงกับใจอยู่แล้วนี้ว่า มันอยู่ข้างซ้าย !!)ผู้ชาย--เจ้าเล่ห์ เอาตัวรอด
ผู้หญิง--ใช้มารยา เอาตัวรอด
ผู้ชาย--คิดว่าตัวเองฉลาด เก่ง
ผู้หญิง--ขึ้หึงได้ทุกสถานการณ์
ผู้ชาย--ทำงานบ้านไม่เป็น เพราะถือเป็นงานผู้หญิง
ผู้หญิง--บ้าดารา นักร้อง ทุ่มสุดๆเท่าไหร่เท่ากัน (ผู้ชายนิสัยแบบนี้ กระเทย !! )
ผู้ชาย--ชอบคิดลึก
ผู้หญิง--ถึงจะเป็น[กระผม]ลสตรี ยังไง ถ้าเจอภาพนู้ดก็ชอบแอบดูเหมือนกันแหละ


สรุปได้ว่า ทั้งผู้ชายและผู้หญิงมีนิสัยเหมือนกันคือ เอาแต่ใจตัวเอง




ชื่อเรื่อง มันเกี่ยวกันมั้ย

พ่อ-นี่ ทำไมเทอมนี้ลูกถึงสอบได้คะแนนแย่ขนาดนี้เนี่ย
ตง-- โธ่พ่อครับ ก็การสอบครั้งนี้ผมได้ตำแหน่งฮวงจุ้ยที่ไม่ดีนะสิครับ
พ่อ--อะไรกัน เรียนหนังสือมันเกี่ยวกับฮวงจุ้ยตรงไหนกัน
ตง--เกี่ยวสิครับ ก็เทอมที่แล้วผมนั่งติดกับคนสอบได้ที่หนึ่ง แต่เทอมนี้ผมดันได้ที่นั่งติดกับคนสอบได้ที่โหล่ ผลก็เลยออกมาอย่างที่เห็นไงครับ





ชื่อเรื่อง ฝรั่งทะเล้น


หนุ่มสองนายเป็นเพื่อนกัน ทั้งสองนั่งรอสัมภาษณ์เข้าทำงานก่อสร้าง คนแรกเป็นหนุ่มฉลาด คนหลังเป็นหนุ่มทึ่ม

หนุ่มฉลาดถูกเรียกก่อน พอเข้าไปนั่ง หัวหน้าคนงานถาม

"นายเพี้ยนรึเปล่า?"

"ไม่ครับ" หนุ่มฉลาดตอบ

"ใครเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ?"

หนุ่มฉลาดไม่รอช้า
"จอร์จ ดับเบิลยู. บุช"

"นายคิดว่าจะทำงานนี้ได้ดีแค่ไหน?"

หนุ่มฉลาดตอบหนักแน่น
"สุดๆ ไปเลยครับ"

หัวหน้าคนงานพอใจ เชิญหนุ่มฉลาดออกไปรอฟังผลข้างนอก

หนุ่มทึ่มเห็นเกลอเดินออกมาก็ปรี่เข้าหา ความที่เป็นคนทึ่มจึงขี้เกียจท่องจำอะไรยาวๆ "ต้องตอบว่าอะไรมั่ง? บอกมาเร็ว!"

หนุ่มฉลาดแนะเพื่อน แล้วหนุ่มทึ่มก็เข้าห้องสัมภาษณ์ หัวหน้าคนงานถาม

"นายมีพ่อแม่รึเปล่า?"

"ไม่ครับ"

"เฮ้ย! เป็นไปไม่ได้! อย่างน้อยก็ต้องมีพ่อ พ่อนายชื่ออะไร? "

"จอร์จ ดับเบิลยู. บุช"

ผู้จัดการส่ายหน้า บ่นดังๆ "ลูกยังงี่เง่าขนาดนี้ พ่อมันจะงี่เง่าขนาดไหนวะ"

"สุดๆ ไปเลยครับ!".



ชื่อเรื่อง คู่มือการดูแล สามี อย่างถูกวิธี

รักผัวต้องหมั่นตบ ผัวสลบ เราตบซ้ำ
กลับดึกไม่ต้องถาม ไม้หน้าสาม หวดทันใด
ตีหนึ่ง...พึ่งถึงบ้าน แพ่นกบาล ให้หนำใจ
รักผัวไม่หวั่นไหว ซัดเข้าไป ไม่ยั้งมือ

หากผัวกลับบ้านดึก เตรียมเปิดศึก อย่ากลัวเกรง
รักผัวต้องข่มเหง ผัวเราเอง ใช่ผัวใคร
รักผัวต้องเข้มแข็ง กระหน่ำแข้ง ซัดเข้าไป
รักผัวต้องหลากหลาย ทั้งมีดไม้ ให้ครบมือ

รักผัวต้องหมั่นซ้อม โดดขึ้นคร่อม อย่าออมมือ
รักผัวต้องฝึกปรือ หมั่นซ้อมมือ ให้แม่นยำ
ผัวล้มเราเหยียบซ้ำ เอาให้หนำ ตายคามือ
ซ้อมผัวให้คนลือ ว่าเราคือ ยอดเมียไทย

มีผัวบ่นจู้จี้ ร่อนทัพพี ให้หน้าหงาย
มีผัวเอาแต่ใจ บีบคอให้ ตายไปเลย
ตีหัว ผัวแหว่งวิ่น แอนตาซิล จ่ายทุกแผล
รักผัวต้องดูแล เพราะผัวแก่ ใกล้ลงโลง

ถ้าผัวแอบมีกิ๊ก ไม้ตีพริก ฟาดเข้าไป
กระทืบ ผัวให้ตาย อย่าปล่อยไว้ ให้อายคน
รักผัวต้องอดทน ผัวเป็นคน ด้านกว่าใคร
โดนตบ จนหน้าหงาย ผัวยังไม่...สำนึกเลย

ผัวดีนั้นหายาก ต้องลำบาก ตรากตรำหา
รู้ไหมกว่าได้มา เหนื่อยเลือดตา แทบกระเด็น
รักผัวต้องใจเย็น เพราะผัวเป็น ของมีค่า
รักผัวต้องบูชา อย่าเที่ยวด่า ส่งเดชไป

ผัวด่า เราต้องเงียบ ยกเจ๊เบียบ ให้ผัวไป
เผื่อฟลุ๊ค ผัวช๊อคตาย หาผัวใหม่ สุขใจเอย




ชื่อเรื่อง
password
สาวแผนกคอมพิวเตอร์กำลังช่วยผู้จัดการหนุ่มที่เพิ่งเข้าใหม่


เซ็ตคอมพิวเตอร์ให้ต่อเข้ากับเซอร์เวอร์ของบริษัท


เมื่อป้อนข้อมูลมาถึงขั้นที่จะต้องกำหนด password เพื่อเข้าสู่ระบบ


เธอจึงถามผู้จัดการว่าต้องการให้ password เป็นอะไร


ผู้จัดการหนุ่มคิดจะแกล้งสาวให้อายจึงบอกว่า “PENIS”


สาวน้อยหน้าแดงก่ำแต่ก็ป้อน password เข้าไปโดยไม่ทักท้วงอะไร


ทันที่ที่กดปุ่ม Enter ..............


เธอก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจใส่หน้าผู้จัดการหนุ่มที่ตีหน้าปั้นยากสุดๆ


เพราะบนหน้าจอปรากฏข้อความว่า

"PASSWORD REJECTED. NOT LONG ENOUGH."

ตั้งชื่อสุนัข บอกนิสัยเจ้าของ



ข้อมูลจาก Forward Mail
ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต

ปอน… แน็คกี้… หรือ โอเว่น … เอ…สุนัขที่บ้านมีชื่ออะไรมั่งหนอ? อ่ะ อ่ะ คุณรู้หรือไม่ว่า ชื่อที่คุณตั้งไว้ให้กับสุนัขสามารถทายนิสัยคุณได้ ว่าแต่ชื่อสุนัขของคุณมีชื่อแนวไหนกันบ้างเอ่ย?

ชื่อเเนวการ์ตูน … มิคกี้เม้าท์..เคโระ

คุณเป็นคนที่มีความคิดฝัน เเละก็ยังมีความ เป็นเด็กอยู่ในหัวใจเสมอ

ชื่อเเนวโบราณ … มะลิ..ลำดวน

เป็นคนที่มีปัญญาปราดเปรื่อง ชอบอ่านชอบค้นคว้า ความรู้รอบตัว เเต่ชอบทำตัวให้เเตกต่างจากชาวบ้าน ไม่อยากเหมือนใครอื่น

ชื่อเหมือนคน…เบิ้ม..มิชิโกะ

มีนิสัยที่สนุกสนานเฮฮาอารมณ์ดีอยู่เสมอ อาจจะขี้หมั่นไส้ง่ายเล็กน้อยเรียกว่าเขม่นคนอื่นง่าย เเต่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร เป็นคนมีน้ำใจไมตรีเเละไม่ชอบความเป็นพิธีรีตองมากนัก

ชื่อคนดัง … หลี่หมิง..วิโนน่า..ทัคกี้

ชอบเอาชื่อคนดังๆ ไม่ว่าจะเป็นชาติไหนก็ตาม มาตั้งชื่อสุนัข มักเป็นที่สังคมจัด เข้ากับคนง่าย สนใจในเรื่องรอบตัวชอบความหรูหราฟู่ฟ่า

ชื่อฝรั่ง …ดิกกี้..คุกกี้..จูเนียร์

คุณเป็นคนที่รักอิสระ ชอบท่องเที่ยวเดินทาง ไปตามใจปรารถนา สนใจเรื่องความสุขในชีวิต มากกว่าเรื่องเงินทอง

ชื่อเเนวโหด …บาซูก้า..รถถัง

เป็นคนที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆ อย่างสนุกสนานชอบเล่นกีฬา ชอบการเเข่งขันไม่ชอบอยู่นิ่งๆ เฉยๆ เป็นคนกล้าพูดกล้าคิด เเต่จริงๆเเล้ว ลึกๆ ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองนักหรอก

ชื่ออาหาร …. เฉาก๊วย..ลูกชิ้น

เป็นคนที่ค่อนข้างใจดี ใจอ่อนชอบช่วยเหลือคน เเต่ก็เป็นคนมีความดุ ความดื้อเเฝงอยู่ด้วย

ชื่อตรงข้ามกับลักษณะที่เเท้จริง … ถ้าสุนัขตัวสีดำเเต่ตั้งชื่อว่าสำลี

เป็นคนที่มีอารมณ์ไม่ธรรมดา อยู่เป็นนิจ มักมีคารมเด็ดๆ มาก่อกวนป่วนปั่นเพื่อนอยู่เสมอ เเต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับใคร เเค่เป็นคนคะนองนิดๆ ห้าวหน่อยๆ และขวางโลกไม่น้อยเท่านั้นเอง!

มารู้จัก TOEFL กันดีกว่า

ถ้าพูดถึง TOEFL ล่ะก็ คงทำเอาน้องๆ หลายคนขนลุกกันแน่นอน (TOEFL หรือผีเนี่ย - -" ) เพราะอะไรนะหรอ ก็เพราะมัน ยากก็ยาก แพงก็แพง ถ้าคะแนนไม่ดี จะสอบใหม่ก็เปลืองแสนเปลือง เพราะฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เห็นตามสถาบันต่างๆ เปิดคอร์สเตรียมสอบ TOEFL และมีคนเรียนอย่างคึกคัก ทั้งๆ ที่ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆ วันนี้เรามาทำความรู้จักกับการสอบ TOEFL กันให้มากขึ้นดีกว่าค่ะ

เด็กดีดอทคอม :: รู้จัก TOEFL กันดีพอแล้วหรือ ?; tags: toefl, toeic, IBT, ielts, cu-tep, sat ,tu-get,เรียนต่อเมืองนอก, เรียนนอก, โทเฟล, โทอิก


TOEFL หรือ The Test of English as a Foreign Language เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ เริ่มสอบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1964 ซึ่งการสอบในอดีตนั้น มี 2 แบบคือ

- Paper-Based testing หรือ PBT คือ การสอบที่ใช้กระดาษในการทำข้อสอบ มีคะแนนตั้งแต่
310-677 คะแนน
- Computer-Based Testing หรือ CB คือ การสอบที่ใช้คอมพิวเตอร์ในการทำข้อสอบ
มีคะแนนตั้งแต่ 0-300 คะแนน

แต่ในปัจจุบัน การสอบทั้ง 2 แบบข้างต้นนั้นได้ถูกยกเลิกไปแล้ว โดยปัจจุบันได้ใช้ Internet-Based Testing : IBT หรือ การสอบที่ใช้อินเตอร์เน็ตในการทำข้อสอบแทน ใช้เวลาในการสอบประมาณ 4 ชั่วโมง ทดสอบทักษะภาษาอังกฤษทั้ง 4 ด้าน คือ การอ่าน (Reading) การฟัง (Listening) การพูด (Speaking) และการเขียน (Writing) แต่ละพาร์ทมีคะแนน 0-30 คะแนน
รวมคะแนนเต็ม 120 คะแนน

เด็กดีดอทคอม :: รู้จัก TOEFL กันดีพอแล้วหรือ ?; tags: toefl, toeic, IBT, ielts, cu-tep, sat ,tu-get,เรียนต่อเมืองนอก, เรียนนอก, โทเฟล, โทอิก


การอ่าน (Reading)

- อ่านบทความ 3-5 บทความ ประมาณ 700 คำ แล้วตอบคำถาม รวมคำถามทั้งหมด 39 ข้อ โดยบทความ
นั้นเป็นเนื้อหาที่สามารถพบได้ในหนังสือเรียนระดับปริญญาตรี เน้นความเป็นเหตุเป็นผล การเปรียบเทียบ
และการโต้แย้ง

**ตอบคำถามบนจอคอมพิวเตอร์**


การฟัง (Listening)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 แบบ คือ
1. Academic Lecture หรือ การจำลองสถานการณ์ในห้องเรียน 4 เรื่อง จำนวนคำถาม 24 ข้อ
2. Student Conversation หรือ บทสนทนา 2 เรื่อง จำนวนคำถาม 10 ข้อ

**ฟังบทสนทนาทั้งหมดทางหูฟัง**


การพูด (Speaking)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 3 ประเภท คือ
1. Independent 2 ข้อ โดยผู้สอบจะได้ฟังเรื่องราว ประสบการณ์ที่เป็นเรื่องใกล้ตัวและคุ้นเคย
จากนั้นจะต้องตอบคำถาม โดยมีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 15 วินาที และมีเวลาในการตอบ
คำถาม 45 วินาที

2. Integrated Reading + Listening 2 ข้อ โดยผู้สอบจะต้องอ่านบทความสั้นๆ จากนั้นจะต้องฟัง
บทสนทนาหรือการบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวกับบทความที่อ่านนั้น จากนั้นจะต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้อ่าน
และฟัง มีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 30 วินาที และมีเวลาในการตอบคำถาม 1 นาที

3. Integrated Listening 2 ข้อ โดยผู้สอบจะได้ฟังบทสนทนาหรือการบรรยายทางวิชาการ และจะ
ต้องตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ฟัง มีเวลาในการเตรียมตัวตอบคำถาม 20 วินาที และมีเวลาในการตอบ
คำถาม 1 นาที

**ผู้สอบอัดเสียงของตนเองลงบนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จากนั้นจะถูกประเมินคะแนนโดยผู้ประเมินที่เชี่ยว
ชาญ**


การเขียน (Writing)

- ประกอบด้วยข้อสอบ 2 ประเภท คือ
1. Integrated Reading + Listening 1 ข้อ โดยผู้สอบต้องอ่านบทความทางวิชาการภายในเวลา
3 นาที จากนั้นฟังการบรรยายในเรื่องที่เกี่ยวกับบทความที่อ่านนั้น และต้องสรุปเนื้อหาหรือแสดงความเห็น
ต่อสิ่งที่ได้อ่านและฟังด้วยภาษาอังกฤษ 150-220 คำ ภายในเวลา 30 นาที

2. Independent Task 1 ข้อ โดยผู้สอบจะได้อ่านประโยคหรือบทความสั้นๆ จากนั้นต้องตอบคำถาม
หรือแสดงความเห็นต่อประโยคหรือบทความที่ได้อ่านนั้นด้วยภาษาอังกฤษอย่างน้อย 300 คำ ภายในเวลา
30 นาที

**เขียนคำตอบโดยการพิมพ์ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์**


ซึ่งในการสมัครเรียนต่อเมืองนอกนั้น จะระบุคะแนนขั้นต่ำของ TOEFL ที่รับสมัคร ซึ่งทุกๆ ที่จะรับคะแนนแบบ IBT แต่บางที่ก็ยังรับคะแบบ PBT และ CBT ด้วย โดยส่วนมากมักจะรับคะแนนขั้นต่ำของ IBT ที่ 80 คะแนน โดยจะเท่ากับ 213 คะแนนของแบบ CBT และเท่ากับ 550 คะแนนของแบบ PBT ค่ะ แต่บางที่อาจจะกำหนดคะแนนขั้นต่ำไว้สูงกว่านั้น (หินมาก)



ปรัชญา....มด (อ่านซักนิด)


ขยันๆกันนะพวกเรา


ปรัชญาที่ 1 มดไม่เคยละความพยายาม
หากมันมุ่งหน้าไปทางทิศใด แล้วเกิดอุปสรรค = ถูกปิดกั้นหนทาง มันจะพยายามหาทางเดินทางอื่น มันจะได้ขึ้นไต่ลงไต่ไปรอบๆมันจะมองหาหนทางอื่นเสมอ
ข้อคิด
จงอย่าละความพยายามในการหาหนทางไปสู่สิ่งที่หมายมาด

ปรัชญาที่ 2 มดคิดถึงฤดูหนาวตลอดฤดูร้อน
มันไม่เคยรักสบายจนคิดเพียงว่าคิมหันต์ฤดู จะคงอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้น มันจึงพยายามเก็บสะสมเสบียงไว้สำหรับเหมันต์ ตลอดฤดูคิมหันต์หรรษา
ข้อคิด
จงตะหนักถึงความเป็นจริง และเตรียมรับกับเหตุการณ์ในอนาคต

ปรัชญาที่ 3 มดคิดถึงฤดูร้อนตลอดฤดูหนาว
ท่ามกลางความหนาวเหน็บแห่งเหมันห์ มันจะเตือนตัวเองว่า "ความลำบากจะอยู่เพียงไม่นาน แล้วเราก็จะพ้นจากสภาวะเช่นนี้"

เมื่อวันที่แสงแห่งความอบอุ่นแรกสาดส่อง มันจะออกมาเริงร่า หากอากาศกลับกลายเป็นหนาวอีกครั้ง มันจะเข้าไปในโพรงอีกครั้ง

และออกมารับความอบอุ่นในวันอากาศดีโดยทันใด


ข้อคิด
จงมองทุกสิ่งในเชิงบวกตลอดเวลา
ปรัชญาที่ 4 ทุ่มเททุกสิ่งเท่าที่สามารถ
มดสามารถเก็บเกี่ยวเสบียงตลอดฤดูร้อนเพื่อเตรียมพร้อมฤดูหนาวให้มากเท่าที่มันจะทำได้
ข้อคิด
จงพยายามทำทุกสิ่งทุกอย่างเต็มกำลัง

สรุป

1)อย่ายอมแพ้
2)
มองไปข้างหน้า
3)
มองโลกในแง่ดี
4)
ทำเต็มความสามารถ

มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง เมื่อวานก็สายเกินแก้ พรุ่งนี้ก็สายเกินไป

ความสุข อยู่ที่ใจ...ใช่อื่นใกล











ความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่การได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ แต่อยู่ที่ชอบในสิ่งที่ตัวเองทำ


ไอ้นั่น ... คุณเรียกมันว่าอะไร

สุดยอดคำตอบ คนสวย เก่ง ฉลาด

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อเมริกา ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ


คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิส อเมริกา : ในบ้านของไอ เราเรียกมันว่า สุภาพบุรุษ
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส อเมริกา: เพราะว่ามันลุกขึ้นทุกครั้ง ที่เห็นสุภาพสตรี
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส สเปน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ

คุณให้คำจำกัดความของอวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิส สเปน : ไอ้นั่นของผู้ชาย ในประเทศของเรา เหมือนกับ วัวกระทิง
ที่เราใช้ในการแสดงการสู้วัวกระทิง
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส สเปน : เพราะว่า มันพุ่งเข้าหาทุกครั้ง ที่เห็นช่องเปิด
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ!)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ฟิลิปปินส์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ

คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิสฟิลิปปินส์ : ฉันพูดได้เลยว่า ไอ้นั่นของผู้ชายในบ้านดิฉัน
เหมือนกับข่าวซุบซิบ และ ข่าวลือ
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส ฟิลิปปินส์ : เพราะว่า มันผ่านจากปากนึง สู่อีกปากนึงต่อๆกัน
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ! พร้อมทั้งลุกขึ้นโห่กรี๊ดลั่นต่??ด้วยเสียงปรบมือยาว

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส อิหร่าน ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ

คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิส อิหร่าน : โอ้ ในบ้านชั้น เราว่า ไอ้นั่น
ของผู้ชายมันเหมือนกับ ขโมย
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส อิหร่าน : เพราะว่า พวกมันชอบเข้า ทางประตูหลัง
( เสียงปรบมือ แปะๆ แปะๆ! พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาวต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิส ไชน่า ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ

คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิส ไชน่า : ในจีนพวกเราว่าไอ้นั่นของผู้ชายคล้ายกับท่านผู้นำ Deng Siu Ping.
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส ไชน่า : คือว่า แม้มัน สั้น(เตี้ย) และ ต้องตรากตรำ งานหนัก
แต่ว่ามันก็ยัง ทำงานได้จนถึงอายุ 90 ปี
( เสียงปรบมือ แปะๆ! แปะๆ พร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น ยาว ต่อด้วยเสียงปรบมือยาว)

พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : มิสไทยแลนด์ ไม่ทราบว่า ในประเทศของคุณ

คุณให้คำจำกัดความของ อวัยวะของผู้ชาย(ไอ้นั่น) ว่า อย่างไร ?
มิสไทยแลนด์ : ในประเทศของเรา เราเปรียบไอ้นั่นเหมือนกับนักการเมือง
พิธีกรผู้ตั้งคำถาม : ทำไมคุณถึงพูดอย่างนั้นล่ะ ?
มิส มิสไทยแลนด์ : อ๋อ เพราะว่า พวกมันวันๆ งานการไม่ทำ
ได้แต่เดินแกว่งไป แกว่งมา!!! ไปวันๆ เท่านั้น



--


มาดูแล "สมอง" ของเรากันดีกว่า


1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การ

ส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ( อืมม …. มิน่า กินน้ำน้อย รู้สึกโง่ๆ)


2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย

ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imageryสามารถจินตนาการเห็น

ภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)


4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรัก

และหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ



6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับ

เพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน

ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
! สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง

ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด

ขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

************************************************************************

10 วิธี สุขฟรีๆ แบบมีกึ๋น

1. วันว่าง
ลองให้วันทั้งวันอยู่กับการว่าง ไม่มีนัด ไม่ไปธุระที่ไหน ไม่กำหนดตารางอะไรให้ชีวิต จะทำกิจวัตรอะไรก็ให้เป็นแบบช้าๆ สบายๆ ไม่รีบเร่ง อยู่กับแต่ละกิจกรรมอย่างเต็มร้อย ให้ใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริงกับการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ วันว่างๆ จะช่วยเติมเต็มพลังกายและใจให้แก่เรา แถมยังช่วยลดใช้พลังงานโลกด้วย
วันนั้นอาจจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายกว่าปกติสักนิด อาบน้ำแบบมอบความทะนุถนอมให้กับร่างกาย เบิกบานกับอาหารเช้าที่ดีกับสุขภาพ เปิดประตู เปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติ เดินสำรวจละแวกบ้าน ถ้าจะหยิบหนังสือที่ซื้อไว้ตั้งนานแต่ยังไม่ได้อ่านสักทีมาอ่านก็ไม่ผิดกฎอะไร ตกค่ำจะลองทานมื้อเย็นใต้แสงเทียน ให้หลอดไฟกับมิเตอร์ได้พักผ่อนก็ให้ความรู้สึกพิเศษดีเช่นกัน

2 .
หายใจเล่น
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่เงียบๆคนเดียว ติดทีวี ติดโทรศัพท์ อาจลองหาเวลาตีสนิทกับเพื่อนใกล้ตัวของเราทั้งสอง คือ คุณลมหายใจเข้า และคุณลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เดิน นอน หรือ เคลื่อนไหว เราจะตระหนักรู้ถึงเพื่อนสองคนนี้อยู่เสมอ หมั่นเช็คอยู่เรื่อยๆว่า เพื่อนทั้งสองคนของเรามีสภาพอย่างไร ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า เมื่อเราดูแลลมหายใจ ลมหายใจก็จะดูแลเรา การดุแลกันและกันเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อทางร่างกายและจิตใจ ความสงบที่เกิดจากภายในจะส่งผลที่น่าประทับใจถึงภายนอก ในเวลาที่เราต้องเผชิญกับเรื่องยากๆ ต้องคิด ตัดสินใจ และทำอะไรอยู่ตอลดเวลา การได้พักสัก 15 นาที หรือสักชั่วโมงจะช่วยให้หัวที่เคยหมุนจนร้อน ใจที่เต้นรัวเร็ว ร่างกายที่เครียดตึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

3.
ชื่นชมธรรมชาติ
ไม่ต้องรอให้ถึงวันพักร้อน แค่ตื่นเช้าขึ้นสักนิด ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ให้แสงแรกของพระอาทิตย์ล้างตาให้สะอาด ช่วงสายๆ อาจจะมองท้องฟ้าสัก 5-10 นาที ดูเมฆที่ค่อยๆ เปลี่ยนรุปก็เติมความสดชื่อนได้ดี บ่ายคล้อยเดินเล่นให้สายลมเย็นปะทะหน้าเบาๆ สูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ได้เวลาพลบค่ำปิดไฟให้หมด จะได้ห็นดาวและเดือนที่ลอยเกลื่อนฟ้าได้ชัดขึ้น ให้เวลาธรรมชาติได้บำบัดเราทั้งกายและจิตใจ
4. สลายไขมัน
สำหรับคนบ้าพลัง คนกลัวอ้วน คนไม่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายให้ได้เหงื่อจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น หรืออาจว่ายน้ำในความเงียบ ซึ่งนั้นหมายถึงรวมไปถึงเสียงในหัวเราด้วย ลองว่ายไปเรื่อยๆ ตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เสียงในหัวเราจะค่อยๆ เงียบลงเอง หรืออาจจะลองปั่นจักรยานรับลม สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโรฟิน) แล้วยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย

5.
ศิลปินสมัครเล่น
หยิบดินสอหรือสี ขึ้นมาวาดรูปแบบไม่ห่วงสวย ปลอดปล่อยจินตนาการ ให้ความเป็นเด็กในตัวออกมามีชีวิตผ่านงานศิลปะ หรือประดิษฐ์งานฝีมืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราได้มีพื้นที่และอิสนระจากความคิด ความยึดติด ทั้งนี้พบว่า การถักนิตติ้งช่วยสงบใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเสริมสร้างสมาธื บำบัดความเบื่อหน่าย ความเครียด และแรงกดดันจากการทำงาน ทั้งยังได้ผลงานเป็นของขวัญให้คนรอบข้างอีกด้วย เรียกว่า บำบัดใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ

6.
สุขใจกับงานบ้าน
การได้ลงมือ ปัดกวาดเช็ดถู จัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดแต่งใบเสีย ล้วนเป็นโอกาส ให้เราได้กลับมาปัดกวาดเช็ดถู จัดระเบียบ และรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขให้ใจเราได้เติบโต งอกงาม สะอาด และใหม่สดอยู่เสมอ "บ้านสะอาดสดใส ใจก็งดงาม"

7.
สนทนาใจ
ใช้เวลากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกัน ช่วยฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตระหนักรู้ว่า เรามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ หาวันว่างยามบ่าย บรรยากาศสบายๆ ที่บ้านใครสักคน นั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในวิถีแห่งสติ อาจเป็นความตื่นเต้นจากความรับผิดชอบใหม่ๆ หรือมองเห็นความสดใหม่ในงานเก่าหรือจะเป็นผู้คนที่เราพบเจอได้เรียนรู้ ความสุขที่เรามี หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า เรื่องอกหัก ความทุกข์ใจ ความยากลำบากในครอบครัวที่ต้องเผชิญ อื่นๆอีกมากมายที่เราพร้อมเปิดใจแบ่งปันต่อกัน การได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันอย่างเต็มเปี่ยมถือเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องใช้สตางค์
8. กลับบ้านแล้ว
ใช้เวลาเพื่อพูดคุย ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น
ลองเริ่มจากคนใกล้ชิดก่อน