วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

มาดูแล "สมอง" ของเรากันดีกว่า


1. จิบน้ำบ่อยๆ สมองประกอบด้วยน้ำ 85 เปอร์เซ็นต์
เซลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การ

ส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ ( อืมม …. มิน่า กินน้ำน้อย รู้สึกโง่ๆ)


2. กินไขมันดี คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน
ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย

ปลาที่มีไขมันดีอย่างปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดีที่ทำให้เซลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น


3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที
เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imageryสามารถจินตนาการเห็น

ภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ (ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน)


4. ใส่ความตั้งใจ
การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น

ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน


5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ
ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอนเดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรัก

และหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ



6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน
สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับ

เพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา ฯลฯเพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอนเดอร์ฟินและโดปามีน

ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน
ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง


8. เขียนบันทึก Graceful Journal ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดีๆ
ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข ฯลฯ เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

9. ฝึกหายใจลึกๆ
! สมองใช้ออกซิเจน 20-25 เปอร์เซ็นต์ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง

ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอด

ขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 เปอร์เซ็นต์

************************************************************************

10 วิธี สุขฟรีๆ แบบมีกึ๋น

1. วันว่าง
ลองให้วันทั้งวันอยู่กับการว่าง ไม่มีนัด ไม่ไปธุระที่ไหน ไม่กำหนดตารางอะไรให้ชีวิต จะทำกิจวัตรอะไรก็ให้เป็นแบบช้าๆ สบายๆ ไม่รีบเร่ง อยู่กับแต่ละกิจกรรมอย่างเต็มร้อย ให้ใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริงกับการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ วันว่างๆ จะช่วยเติมเต็มพลังกายและใจให้แก่เรา แถมยังช่วยลดใช้พลังงานโลกด้วย
วันนั้นอาจจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายกว่าปกติสักนิด อาบน้ำแบบมอบความทะนุถนอมให้กับร่างกาย เบิกบานกับอาหารเช้าที่ดีกับสุขภาพ เปิดประตู เปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติ เดินสำรวจละแวกบ้าน ถ้าจะหยิบหนังสือที่ซื้อไว้ตั้งนานแต่ยังไม่ได้อ่านสักทีมาอ่านก็ไม่ผิดกฎอะไร ตกค่ำจะลองทานมื้อเย็นใต้แสงเทียน ให้หลอดไฟกับมิเตอร์ได้พักผ่อนก็ให้ความรู้สึกพิเศษดีเช่นกัน

2 .
หายใจเล่น
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่เงียบๆคนเดียว ติดทีวี ติดโทรศัพท์ อาจลองหาเวลาตีสนิทกับเพื่อนใกล้ตัวของเราทั้งสอง คือ คุณลมหายใจเข้า และคุณลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เดิน นอน หรือ เคลื่อนไหว เราจะตระหนักรู้ถึงเพื่อนสองคนนี้อยู่เสมอ หมั่นเช็คอยู่เรื่อยๆว่า เพื่อนทั้งสองคนของเรามีสภาพอย่างไร ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า เมื่อเราดูแลลมหายใจ ลมหายใจก็จะดูแลเรา การดุแลกันและกันเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อทางร่างกายและจิตใจ ความสงบที่เกิดจากภายในจะส่งผลที่น่าประทับใจถึงภายนอก ในเวลาที่เราต้องเผชิญกับเรื่องยากๆ ต้องคิด ตัดสินใจ และทำอะไรอยู่ตอลดเวลา การได้พักสัก 15 นาที หรือสักชั่วโมงจะช่วยให้หัวที่เคยหมุนจนร้อน ใจที่เต้นรัวเร็ว ร่างกายที่เครียดตึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

3.
ชื่นชมธรรมชาติ
ไม่ต้องรอให้ถึงวันพักร้อน แค่ตื่นเช้าขึ้นสักนิด ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ให้แสงแรกของพระอาทิตย์ล้างตาให้สะอาด ช่วงสายๆ อาจจะมองท้องฟ้าสัก 5-10 นาที ดูเมฆที่ค่อยๆ เปลี่ยนรุปก็เติมความสดชื่อนได้ดี บ่ายคล้อยเดินเล่นให้สายลมเย็นปะทะหน้าเบาๆ สูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ได้เวลาพลบค่ำปิดไฟให้หมด จะได้ห็นดาวและเดือนที่ลอยเกลื่อนฟ้าได้ชัดขึ้น ให้เวลาธรรมชาติได้บำบัดเราทั้งกายและจิตใจ
4. สลายไขมัน
สำหรับคนบ้าพลัง คนกลัวอ้วน คนไม่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายให้ได้เหงื่อจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น หรืออาจว่ายน้ำในความเงียบ ซึ่งนั้นหมายถึงรวมไปถึงเสียงในหัวเราด้วย ลองว่ายไปเรื่อยๆ ตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เสียงในหัวเราจะค่อยๆ เงียบลงเอง หรืออาจจะลองปั่นจักรยานรับลม สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโรฟิน) แล้วยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย

5.
ศิลปินสมัครเล่น
หยิบดินสอหรือสี ขึ้นมาวาดรูปแบบไม่ห่วงสวย ปลอดปล่อยจินตนาการ ให้ความเป็นเด็กในตัวออกมามีชีวิตผ่านงานศิลปะ หรือประดิษฐ์งานฝีมืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราได้มีพื้นที่และอิสนระจากความคิด ความยึดติด ทั้งนี้พบว่า การถักนิตติ้งช่วยสงบใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเสริมสร้างสมาธื บำบัดความเบื่อหน่าย ความเครียด และแรงกดดันจากการทำงาน ทั้งยังได้ผลงานเป็นของขวัญให้คนรอบข้างอีกด้วย เรียกว่า บำบัดใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ

6.
สุขใจกับงานบ้าน
การได้ลงมือ ปัดกวาดเช็ดถู จัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบียบ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดแต่งใบเสีย ล้วนเป็นโอกาส ให้เราได้กลับมาปัดกวาดเช็ดถู จัดระเบียบ และรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขให้ใจเราได้เติบโต งอกงาม สะอาด และใหม่สดอยู่เสมอ "บ้านสะอาดสดใส ใจก็งดงาม"

7.
สนทนาใจ
ใช้เวลากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกัน ช่วยฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตระหนักรู้ว่า เรามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ หาวันว่างยามบ่าย บรรยากาศสบายๆ ที่บ้านใครสักคน นั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในวิถีแห่งสติ อาจเป็นความตื่นเต้นจากความรับผิดชอบใหม่ๆ หรือมองเห็นความสดใหม่ในงานเก่าหรือจะเป็นผู้คนที่เราพบเจอได้เรียนรู้ ความสุขที่เรามี หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า เรื่องอกหัก ความทุกข์ใจ ความยากลำบากในครอบครัวที่ต้องเผชิญ อื่นๆอีกมากมายที่เราพร้อมเปิดใจแบ่งปันต่อกัน การได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันอย่างเต็มเปี่ยมถือเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องใช้สตางค์
8. กลับบ้านแล้ว
ใช้เวลาเพื่อพูดคุย ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น
ลองเริ่มจากคนใกล้ชิดก่อน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น