วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อกหักไม่ขาดทุน- กำไรจากความรัก...

ถ้า "กำไร" ของแม่ค้า คือจำนวนเงิน "ส่วนเกิน"ที่ได้มาจากการขายของ ฉันก็มองว่า "กำไร" ของคนอกหักคือจำนวนบทเรียนที่ได้กลับมา
"ส่วนเกิน" ของความรักก็คือ ส่วนที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นในระหว่างที่รักกัน อาทิ การทะเลาะวิวาท การนอกใจการไม่มีเหตุผล การเห็นแก่ตัว ฯลฯ
.......................................
ถ้ามัวแต่คิดว่า อกหักแล้วขาดทุน ไม่มีแรง ไม่มีทุนหัวใจจะไปรักใครอีก...มันก็จะเป็นอย่างที่เธอคิดนั่นแหละ...จิตใจย่ำแย่ยังไง มันย่อมส่งผลต่อร่างกายแบบนั้นเช่นกัน
แต่ถ้าคิดว่าอกหักแล้วได้กำไรกำลังใจในการสู้ต่อ มันก็เพิ่มขีดความสามารถมากขึ้น
ซึ่งเธอต้องยอมเข้าใจในเหตุผลที่ว่าบางครั้งความเจ็บปวดมันก็มีเจตนาของมันเหมือนกัน
เจตนาที่ว่าก็คือ การสอนให้เราเรียนรู้บางสิ่งบางอย่างผ่านทางความเจ็บปวด นี่คือกำไรที่เธอควรเรียนรู้ให้ได้อย่าปล่อยให้ทัศนคติด้านความรักติดลบด้วยการหันหลังให้กับส่วนเกินนั้นๆ
ในเมื่อเธอสามารถพลิกส่วนเกินให้เปลี่ยนมาเป็นกำไรได้ด้วยการเผชิญหน้ากับเหตุผล
........................................
จริงๆ การที่เขานอกใจเรา...ไม่ได้แปลว่าเราไม่ดี
การทะเลาะกันบ่อยๆ...ไม่ได้แปลว่า เขาหรือเราเองเป็นคนผิด
การไม่มีเหตุผล...บางครั้งมันก็อธิบายไม่ได้ว่าทำไม...
............................................
แต่ทั้งหมดคือสิ่งที่ผ่านเราไปเพื่อสอนให้เราเรียนรู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเอง"อดีต" เป็นบทเรียนอันล้ำค่าเสมอ...
อดีตจึงไม่ได้เป็นเพียงส่วนเกินที่ไร้ค่า เพราะมันสามารถแปรผันเป็น "กำไร" ที่ล้ำค่าได้
..............................................
อย่าลืมเก็บกำไรงามๆ จากรักแต่ละครั้งไว้ให้ดีๆล่ะเพราะว่าต่อไปในวันข้างหน้า
กำไรครั้งนี้จะแปรสภาพเป็นทุนหนาๆให้กับรักครั้งใหม่ของเธอ
เรียกว่า รักครั้งไหนก็ไม่มีทุนหายกำไรหด

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ นางมาร้าย
เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ทายนิสัยตามตำราของชาวจีน

ตามตำราของชาวจีนได้มีการบันทึก การดูบุคลิกของคนโดยการผายลม(ที่เราเรียกกันอีกอย่างว่า "ตด") เอาใว้มากมาย ไหนวันนี้ลองมาดูกันซิว่าเราเป็นคนประเภทใหนกัน
ทายนิสัยจากการ "ตด" ( อิอิอิ... )
01. คนใจเย็น - คนที่กลั้นตดจนถึงจุดละเบิด

02. คนขี้โอ่ - คนที่ตดดังสนั่นแล้วหัวเราะชอบใจ

03. คนไม่จริงใจ - คนที่ตดแล้วหันไปมองหน้าเด็ก

04. คนงก - คนที่ชอบยืนดมตดตัวเอง

05. คนโชคร้าย - คนที่ตดขณะเอามือตบโต๊ะไปด้วยแต่พลาดจังหวะ(ซวย)

06. คนซาดิสต์ - คนที่ตดในผ้าห่มแล้วกดหัวแฟนตัวเองดม

07. คนเจ้าเล่ห์ - คนที่ตดแล้วไอกระแอมเบาๆ

08. คนสุภาพ - คนที่กล่าวคำขอโทษ ก่อนและหลังการตด(ทั้งๆที่อยู่บ้านคนเดียว)

09. คนมั่งคง - คนที่ตดอย่างสม่ำเสมอ เป็นจังหวะและยาวนาน

10. คนอำมหิต - คนที่ตดไม่มีเสียง แต่โครตเหม็น

11. คนดีแต่พูด - คนที่ตดโครตดัง แต่ไม่มีกลิ่น(เน้นการใช้เสียงเพื่อขู่ศรัตรู)

12. คนหลายใจ - คนที่ตด ขี้ เยี่ยว ไปพร้อมๆกันในเวลาเดียวกัน(เหรือเรียกว่า ทวารสามัคคี)

13. คนใจบุญ - คนที่ตดอยู่เหนือลม

14. ผู้ดี - คนที่กลั้นตดใว้เป็นชั่งโมงเพื่อกลับไปตดที่บ้าน

15. นักวิทยาศาตร์ - คนที่ชอบวิเคราะห์กลิ่นตดว่าอาหารก่อนหน้านั้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง

16. แพทย์ - คนที่ล้างมือทั้งก่อนและหลังตด แล้วคุณหละเป็นคนแบบใหน?

กำจัดสารพัดกลิ่นด้วยวิธีธรรมชาติ

กำจัดสารพัดกลิ่นด้วยวิธีธรรมชาติ
วิธีกำจัดสารพัดกลิ่นที่ทำลายบรรยากาศ เริ่มจากห้องหับต่างๆ ในบ้านก่อนเป็นอันดับแรก ทำอย่างไรกับกลิ่นในบ้าน
สำหรับบ้านไหนที่มีกลิ่นอับชื้นหรือมีกลิ่นเหม็น สิ่งที่ควรทำเป็นอันดับแรกคือ รักษาความสะอาดในห้องไม่ให้ ไม่ให้มีการหมักหมมของขยะ หมั่นเปิดประตูหน้าต่างเพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกขึ้น ส่วนในห้องหับอื่นๆ ขอแนะนำในการจำกัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ดังต่อไปนี้
กลิ่นบุหรีในห้องเปิด หน้าต่างให้โล่ง ใช้สำลีชุบแอมโมเนีย หรือน้ำส้มสายชูวางทิ้งไว้ตามจุดต่างๆ ภายในห้อง หรือจะจุดเทียนไขทิ้งไว้ในห้องเพื่อดับกลิ่นก็ช่วยได้
กลิ่นในห้องน้ำจุด เทียนไขไว้ในจานเชิง จากนั้นดับให้สนิท ยกไปวางไว้ในห้องน้ำ ปิดประตูทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก่อนจะเปิดประตูเพื่อระบายอากาศ กลิ่นไม่พึงประสงค์จะหมดไป
กลิ่นสีทาบ้านผ่าครึ่งหอมหัวใหญ่ตามยาว แล้วนำไปวางตามจุดต่างๆในบ้านหอมหัวใหญ่ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีในการดูดซับกลิ่น จะดูดกลิ่นฉุนของสีทาบ้านให้เบาบางลงได้
กลิ่นอาหารในครัว ห้องครัวที่ทำอาหารเป็นประจำมักจะมีกลิ่นฉุน เราสามารถลดกลิ่นเหล่านี้ได้ โดยใช้ผงกาแฟโปรยลงบนเตา พอให้เกิดควัน จากนั้นปิดประตูห้องครัวไว้ราว 5 นาที แล้วจึงเปิดประตูตามปกติ กลิ่นจะจางลง ถ้าไม่มีกาแฟ ให้ใช้เกลือป่นหรือผงถ่านละเอียด โรยตามบริเวณที่มีกลิ่นก็ได้

กำจัดกลิ่นติดภาชนะในครัว
ไม่ว่าจะเป็นหม้อข้าวเหม็นคาว กลิ่นในเตาไมโครเวฟ หรือกลิ่นเหม็นติดภาชนะพลาสติก
กลิ่นหม้อข้าวเหม็นคาวหากเผลอนำจานชามใส่อาหารที่มีกลิ่นคาวไปแช่น้ำรวมกับหม้อข้าว จะทำให้กลิ่นคาวติดในหม้อไปด้วย เวลาหุงข้าวครั้งต่อไปจะไม่อร่อย เพราะข้าวสวยร้อนๆ มีกลิ่นคาวปน แก้ไขด้วยการนำกากชาลงไปต้มในหม้อดังกล่าว รอให้น้ำเดือดแล้วเททิ้ง จากนั้นล้างซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำยาล้างจาน กลิ่นคาวก็จะหมดไป
กลิ่นเหม็นในเตาไมโครเวฟมีวิธีทำที่ง่ายแสนง่าย เพียงใช้น้ำมะนาวหนึ่งลูกผสมน้ำเปล่าหนึ่งแก้ว คนให้เข้ากัน แล้วนำไปเข้าเตาไมโครเวฟ เปิดเตาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที เพียงเท่านี้กลิ่นเหม็นก็จะจางหาย
กลิ่นเหม็นติดภาชนะพลาสติกปัญหา ที่พบบ่อยๆ สำหรับการใช้ภาชนะพลาสติก คือ มักมีกลิ่นอาหารติด ล้างอย่างไรก็ออกไม่หมด แก้ได้เพียงแช่ภาชนะเหล่านั้นในน้ำส้มสายชู ทิ้งไว้สองวัน แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
กำจัดกลิ่นติดมือ
กลิ่นติดมือเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ทำให้เราหงุดหงิดอยู่บ่อยครั้ง มีวิธีกำจัดดังต่อไปนี้
กลิ่นหอมหัวใหญ่ติดมือใช้สำลีชุบน้ำส้มสายชูเช็ดไปตามเล็บและบริเวณอื่นๆ จนทั่วฝ่ามือ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นจะไม่มากวนใจอีก
กลิ่นคาวติดมือใช้ใบผักกาดขาวถูไปมาให้ทั่วมือ จากนั้นล้างซ้ำอีกครั้งด้วยน้ำสบู่ กลิ่นจะจางหายไป หรือใช้ข้าวสวยประมาณ 1 กำมือ ถูไปตามมือทิ้งไว้ 2-3 นาที ก็จะช่วยขจัดความเหม็นตามเล็บและมือได้เช่นกัน
สำหรับคนที่มีปัญหากับกลิ่นคาวและเมือกลื่นๆ ของปลาแนะนำว่าก่อนขอดเกล็ดให้ลองใช้สารส้มถูให้ทั่วตัวปลา แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด ทั้งเมือกและกลิ่นคาวจะหมดไปค่ะ

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ ✿ น้องพอใจ ✿
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ผงฟู ดูแลบ้านเรือน

ผงฟู ดูแลบ้านเรือน (อสมท)
เนื่องจากผงฟูมีอนุภาคเล็กเป็นรูปทรงผลึกที่อ่อนนุ่ม จึงช่วยในการขัดถู ยังมีสรรพคุณในการดูดกลิ่นเหม็น ดูดความชื่น ปรับค่าความเป็นกรดด่าง ฆ่าเชื้อโรค จึงสามาถนำมาใช้ประโยชน์ในบ้านเรือนได้อย่างมีประสิทธิภาพตามตำรับและสูตรต่างๆ ดังต่อไปนี้
หน้าต่าง
1. ขจัดคราบสกปรกบนขอบและบานหน้าต่าง ด้วยฟองน้ำเปียกๆ ที่โรยด้วยผงฟูเล็กน้อยใช้ล้างด้วยฟองน้ำและเช็ดแห้ง
2. ล้างหน้าต่างบานเกล็ดด้วยน้ำอุ่นที่ผสมผงฟู 3/4 ถ้วยตวง ราดน้ำให้เปียกทิ้งไว้สักครึ่งชั่วโมง ก่อนใช้แปลงขัดออก
3. ล้างหน้าต่างอลูมิเนียม โดยใช้แปรงเปียกๆ จิ้มผงฟูขัดออกใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่มๆ ล้างให้สะอาดทำความสะอาดงานไม้
4. ทำความสะอาดงานจากไม้ฝาผนังหรืออุปกรณ์เครื่องใช้ โดยการผสมน้ำส้มสายชู ผงฟู และน้ำอุ่น
5. ถ้าพื้นผิวผนังสกปรกมีคราบเหนียวเหนอะหนะให้ใช้แอมโมเนีย 1 ถ้วยตวง นำไปเช็ดให้ทั่วฝาผนังด้วยฟองน้ำหมาดๆ อย่าใช้ผ้าขนหนูเปียก ทิ้งไว้สัก 2-3 นาที ก่อนที่จะเช็ดคราบสกปรกออก (ควรจำไว้เสมอว่าเครื่องเรือนไม้มีลักษณะแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าไม่แน่ใจให้ทดลองเฉพาะพื้นที่เล็กๆ ก่อน)
6. รอยด่างเป็นวงหรือรอยจุดบนเฟอร์นิเจอร์ไม้ หากเกิดความร้อนบางครั้งก็อาจขัดออกได้ด้วยการผสมยาสีฟัน และผงฟูในสัดส่วนเท่าๆ กันใช้ผ้านุ่มเช็ดออกเบาๆ ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดเงาด้วยก็ได้หากจำเป็น
7. ขจัดคราบหยดน้ำบนพื้นไม้โดยการใช้ผงฟูกับกับผ้าขี้ริ้วหมาดๆ เช็ดออก จำไว้ว่าเครื่องเรือนที่ทำจากไม้ไม่ควรทำให้เปียก
ทำความสะอาดพื้นผิว
1. ใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดผงฟูเพื่อเช็ดคราบสีเทียนที่ติดบนผนัง เช็ดถูเบาๆ วิธีนี้จะช่วยทำความสะอาดคราบสกปรกส่วนใหญ่อื่นๆ รวมทั้งคราบน้ำมัน ดินสอ และปากกามาร์คเกอร์ได้ด้วย
2. ใช้ผงฟูผสมน้ำเปียกๆ ข้นๆ เพื่อเช็ดถูคราบสกปรกที่เกิดจากรอยลากไปมาบนพื้นเสื่อน้ำมัน
3. ขจัดคราบหรือหยดน้ำหมึกออกจากพื้นเสื่อน้ำมันโดยการใช้ผงฟูข้นๆ ป้ายบริเวณสกปรกทิ้งไว้จนแห้งสักครู่ก่อนจะเช็ดออก และใช้ผงฟูใหม่ๆ ขัดออกอีกครั้ง
ทำความสะอาดพรม
1. ซักพรมโดยใช้เครื่องโดยการเติมผงฟูผสมกับน้ำอุ่น 1 แกลลอน หรือจะซักในถุงน้ำก็ได้ ถ้าคุณจะทำความสะอาดเฉพาะบริเวณที่มีคราบสกปรกโดยการแปรงด้วยมือ ให้โรยผงฟูเล็กน้อยลงบนรอยสกปรก ทิ้งไว้สักครู่ก่อนที่จะเช็ดออกด้วยฟองน้ำหรือผ้าโดยเฉพาะนั้นด้วยฟองน้ำหรือผ้าขนหนู (ทดลองทำก่อนเพราะระวังเรื่องสีตก)
2. ขจัดคราบไวน์หรือคราบสกปรกมันบนพรม โดยการโรยผงฟูบางๆ ทันทีที่มีรอยเปื้อนทำซ้ำหรือค่อยๆ เติมผงฟูใหม่อีกครั้งหากจำเป็น ควรทิ้งไว้สักครู่จนกว่าผงฟูจะดูดซับคราบสกปรก จากนั้นให้ใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดออกให้หมด
น้ำมันหอมระเหย
ทำกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับครอบครัวด้วยตัวคุณเอง โดยใช้ผงฟูประมาณ 1 กล่อง ผสมกับน้ำมันกลิ่นบุหงาที่คุณชื่นชอบ หรือกลิ่นน้ำมันอบเชยสักเล็กน้อย จากนั้นโรยไปทั่วพรมแล้วดูดออกให้เกลี้ยง
กลิ่นสะอาดสำหรับทางเข้า
1. โปรยผงฟูลงบนพรมหน้าบ้าน ซึ่งจะช่วยได้ทั้งการทำความสะอาดและดูดซับกลิ่นเหม็นอับ จากนั้นจึงค่อยดูดออก
2. ขัดถูผงฟูลงบนพรมเช็ดเท้าด้านนอกด้วยไม้กวาดแข็ง จากนั้นใช้สายยางฉีดน้ำฉีดออก หรือคุณจะรอจนกระทั่งฝนตกแล้วชะมันออกไปเองก็ได้
บ้านสุขภาพดี
1. ป้องกันไม่ให้ภาชนะกระเป๋าเดินทางของคุณมีกลิ่นเหม็นอับเหม็นชื้นจากเชื้อรา โดยการโรยผงฟูลงบนภาชนะข้าวของเครื่องใช้ก่อนที่จะเก็บเข้าที่เข้าทางอย่างมิดชิด
2. โรยผงฟูในโถส้วม อ่างล้างหน้า อ่างล้างจานชาม อ่างอาบน้ำ หรือโรยลงบนฟักบัวทิ้งไว้ ก่อนที่คุณจะหยุดใช้ชั่วคราว เพื่อไปพักร้อน วิธีนี้จะช่วยป้องกันกลิ่นเหม็นอับ กลิ่นเก่าเก็บตกค้าง
3. ขจัดกลิ่นเหม็นอับอกจากผ้านวม ผ้าห่ม หลังจากที่คุณเก็บไว้นานๆ โรยผงฟูลงบนผ้านั้น ม้วนเก็บไว้สัก 2 ชั่วโมง จากนั้นสะบัดออกและตบให้ฟูหรือใช้ไดร์เป่าลมให้ฟูโดยไม่ใช้ความร้อนเป่า
4. นำผงปิดฝากล่องตั้งทิ้งไว้ในห้องที่โรงงาน เพื่อขจัดกลิ่นสี หรือกลิ่นสารระเหย หรือกลิ่นน้ำยาขัดเคลือบวัสดุต่างๆ
5. ช่วยลดกลิ่นตกค้างกันของบุหรี่ โดยการโรยผงฟูสักเล็กน้อยลงบนถาดเขี่ยบุหรี่
6. ขจัดกลิ่นตกค้างบนผ้าปูโต๊ะโดยการแช่ผ้าในน้ำละลายผงฟู
กำจัดกลิ่นรองเท้าด้วยผงฟู
1. วางถุงหรือซองผงฟู ไว้ในรองเท้าผ้าใบหุ้มส้น เพื่อไม่ให้รองเท้ามีกลิ่นเหม็นอับหลังการใส่และมีกลิ่นเหม็นตกค้างอยู่ในตู้รองเท้า วิธีนี้คุณอาจจะใช้ผงฟูผสมกับแป้งหอมกลิ่นที่คุณชอบผสมรวมกันไว้ในซองตามที่ต้องการ
2. โรยผงฟูในรองเท้าผงฟูจะช่วยดูดซับกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ออกไป ทิ้งไว้ข้ามคืน รุ่งขึ้นคุณแค่เคาะผงฟูออก
เบ็ดเตล็ดเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการดูแลรักษา
1. ล้างผงฟูสัก 1 ถ้วยตวง ลงในโถส้วมหรือท่อน้ำทิ้งเป็นประจำสัปดาห์ละครั้ง จะช่วยคงสภาพความเป็นกรด-ด่าง ระบบของถังบำบัดของเสีย สภาพความเป็นกรดด่างในระดับที่เหมาะสมจะช่วยให้แบคทีเรียแตกตัวทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะช่วยป้องกันการอุดตันและตกค้างในแทงค์และท่อน้ำทิ้ง การใช้ผงฟูสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันไม่ให้แทงค์คอนกรีตหรือแทงค์ที่ทำจากโลหะผุกร่อนง่าย โดยเฉพาะบริเวณฝาแทงคีที่ต้องสัมผัสกับไอระเหยที่ทำให้ผุกร่อนง่าย
2. ผสมผงฟูกับน้ำเล็กน้อยให้เปียกๆ ข้นๆ เพื่ออุดรูตามผนังที่มีรอยปูนแตกร้าว เพื่อซ่อมแซมเป็นการชั่วคราว เมื่อมันแห้งแล้วจะดูกลมกลืนเข้ากับฝาผนังปูนพลาสเตอร์ขาว เมื่อต้องการซ่อมแซมอย่างถาวรให้ผสมมผลฟูกับกาว (ลาเท็กซ์) ซ่อมแซมสีขาวที่ใช้ตามบ้านเรือน
3. ทำความสะอาดผนังที่มีคราบดำขงอเขม่าควัน ด้วยการใช้เศษผ้าชื่นๆ และผงฟูละลายเข้มข้น
4. ทำความสะอาดอุปกรณ์ตกแต่งเครื่องเรือนโดยการโรยผงฟูให้ทั่วเครื่องตกแต่ง ทิ้งไว้สักครู่จากนั้นจึงดูดออก กลิ่นเขม่าควันจะถูกกำจัดออกจนหมดจด
5. ใช้ผงฟูทำความสะอาดเครื่องประดับลวดลายลูกไม้ประเภทต่างๆ
6. ทำความสะอาดแป้นพิมพ์ดีด ด้วยแปลงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดโดยใช้ผงฟู 4 ชอนโต๊ะละลายกับน้ำ 1 ถ้วยตวง จากนั้นใช้กระดาษชำระเช็ดออก
7. แช่ไม้ถูพื้นหรือไม้กวาดในน้ำ 1 ถัง ละลายผงฟู 4 ช้อนชา แต่ให้แช่หลังจากที่ชำระสิ่งสกปรกออกไปแล้ว วิธีนี้จะเป็นการกำจัดกลิ่นเหม็นอับตกค้างบนไม้ถูพื้นหลังแช่ตากให้แห้ง




ขอขอบคุณข้อมูล จาก อสมท
เป็นบทความที่ได้รับจากเมล์ Suwika.T
เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ผู้ชาย 2 คนแต่ต่างเวลา

> ผู้ชาย 2 คนแต่ต่างเวลา ซึ้งมาก อ่านให้จบนะ
> > > ชายแก่เลยวัย 70 คนหนึ่งคุยกับลูกชายที่เพิ่งกลับมาเยี่ยม
> หลังจากแต่งงานย้ายครอบครัวออกไปไม่กี่ปี
> > ชายแก่ : แจ๊ค (ชื่อลูกชาย) นั่นอะไรลูก ? พ่อเห็นลางๆ
> แจ๊ค : อ๋อ วัวหน่ะพ่อ
> > เวลาผ่านไป 2-3 นาที
> > ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
> แจ๊ค : วัวตัวเดิมนั่นแหละพ่อ ยังไม่ไปไหนเลย
> > ผ่านไปอีก 2-3 นาที
> > ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรอีกล่ะลูก ?
> แจ๊ค : ( เริ่มมีอารมณ์หงุดหงิด) วัวพ่อวัว !!
> วัวตัวเดิมที่เพิ่งถามนั่นแหละ
> > เวลาผ่านไปอีก 2-3 นาที
> > ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรลูก ?
> แจ๊ค : ( เริ่มทนไม่ไหว) เอ๊ะ!! พ่อนี่ยังไงนะ ถามซ้ำๆ ซากๆ อยู่ได้
> ผมจะบอกครั้งสุดท้าย แล้วนะว่า วัว...!!
> > ผ่านไปอีก 2-3 นาที
> > ชายแก่ : แจ๊ค นั่นอะไรน่ะลูก ?
> แจ๊ค : โอ๊ย!!! พ่อเลอะเลือนแล้ว คุยกันไม่รู้เรื่อง
> ผมไม่คุยกับพ่อแล้ว แล้วแจ๊คก็ผละจากพ่อไปอย่างอารมณ์เสียเป็นที่สุด
> > เวลาผ่านไป จวบจนตอนเย็น
> > ได้เวลาอาหารค่ำ เมื่อไม่เห็นผู้เป็นพ่อลงมา
> แจ๊คจึงเดินขึ้นไปตามที่ห้อง ณ ที่นั่น เขาได้พบชายแก่
> นั่งเหม่อลอย ข้างๆ มีไดอารี่เก่าๆ เล่มหนึ่งที่เพิ่งเขียนบันทึกในวันนี้เสร็จ
> แจ๊คถือวิสาสะเข้าไปอ่าน ความว่า...ครั้งหนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนมาแล้ว
> เรามีลูกชายคนหนึ่งที่เรารักมากที่สุด
> เราตั้งชื่อเค้าเองว่า...แจ๊ค
> ในวันที่อากาศแจ่มใสวันหนึ่ง เราพาแจ๊คออกไปเดินเล่น
> ตอนนั้นแจ๊คกำลังพูดได้เก่งทีเดียว
> เราพาเค้าไปนั่งที่สวนหลังบ้าน
> พอดีมีวัวผ่านมา... แจ๊คถามเราว่า พ่อ นั่นอะไร....วัวไงลูก
> เราตอบ เวลาผ่านไป
> อีกไม่ถึงนาที แจ๊คก็ถามคำถามเดิมเราอีก เราก็ตอบเช่นเดิมอีก
> เป็นอย่างนี้อย ู่ถึง 25 ครั้ง
> ... เราไม่เคยเบื่อหน่ายเลยที่จะตอบคำถามเดิม ๆ เหล่านั้น
> เรากลับรู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ลูกสนใจเราอย่างไม่เบื่อหน่าย...
> แต่?นวันนี้ ณ ที่แห่งเดิม คน 2 คน ที่เคยถามคำถามเดียวกัน
> หากแต่ว่าเราเป็นฝ่ายถาม แจ๊คเป็นฝ่ายตอบ... เพียง 5
> ครั้งเท่านั้นลูกก็ตวาดเสียงดังใส่เรา หาว่าเราเลอะเลือน
> รังเกียจแม้แต่จะคุยกับเราต่อไป...
> เมื่ออ่าบจบแจ๊ครู้สึกผิดขึ้นมาจับใจ พ่อเลี้ยงเขามาอย่างดี
> แต่วันนี้สิ่งที่เขาทำให้ท่านคือ การตวาดเสียงดัง
> ไม่พูดด้วยแล้วก็เดินหนีไป เขาตระหนักว่า
> เขาได้ทำสิ่งผิดพลาดซึ่งเขาเองแทบไม่รู้ตัว
> > แล้วคุณล่ะ วันนี้คุณได้ทำอะไรดี ๆ ให้ท่านเหล่านั้นหรือยัง
> ป.ล. หากคุณคิดว่าเรื่องนี้เป็นประโยชน์
> โปรดอย่าเก็บไว้คนเดียว...อย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆ
> ของคุณได้อ่านกันด้วย เพื่อสิ่งดีๆ
> จะได้เกิดขึ้นในสังคมต่อไป > >

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ Wonderful time
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทายนิสัยหนุ่มจากตัวเลข

หากคุณอยากรู้ว่าหนุ่มที่คุณควงอยู่นั้นมีนิสัยอย่างไร ก็ลองทายนิสัยกันได้โดยการนำวันเดือนปีเกิด (ค.ศ.) ของเขามาบวกกันให้เหลือเพียงหลักเดียว เช่น เขาเกิดวันที่ 29 มีนาคม 1980 ก็นำมาคำนวณดังนี้ 29+3+1+9+8+0=5+0=5 เมื่อได้เลข 5 ก็ไปอ่านคำเฉลยกันค่ะ

หมายเลข 1เป็นคนเงียบขรึม ทะเยอทะยานและมุ่งมั่น ขี้อาย ถ้าเขาตกหลุมรักล่ะก็เขาจะทุ่มเท่ให้คนรัก แต่เขามีความเป็นส่วนตัวสูง บางครั้งก็หยิ่งยโส กวนประสาทบ้าง

หมายเลข 2เป็นคนโรแมนติก อ่อนไหวง่าย เข้าใจความต้องการของผู้หญิง แต่เจ้าอารมณ์ชอบหักอกผู้หญิงและชอบเมาหัวราน้ำถ้ามีเรื่องขัดใจ

หมายเลข 3เป็นคนมีแรงดึงดูดทางเพศ ฉลาดและสนุกสนาน แต่เป็นคนอนุรักษ์นิยม ชอบสนุกสนานเฮฮาตามสถานบันเทิง แถมเป็นคนช่างติและหลงตัวเอง

หมายเลข 4เป็นผู้ชายที่จริงใจและซื่อสัตย์ ขยันและรอบรู้ ไม่ค่อยสนใจเรื่องความรัก เท่าไหร่ เป็นคนที่ไม่ชอบการถูกบังคับ คุณจึงต้องใช้จิตวิทยากับเขา

หมายเลข 5เป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากล ชอบศิลปะ การต่อสู้และกีฬากลางแจ้ง เป็นคนพูดเก่ง แต่ไม่ชอบฝากหัวใจไว้กับใคร ชอบเที่ยวมากกว่าทำงาน ไม่ซื่อสัตย์กับผู้หญิง

หมายเลข 6เป็นหนุ่มหน้าตาดีและโรแมนติกมีความอบอุ่นและมั่งคง เป็นคนรักจริงรักจังชอบไปไหนๆ กับสาวที่เขารักเสมอ เรียกว่าเป็นหนุ่มในฝันของสาวๆ เขียวล่ะ

หมายเลข 7เป็นหนุ่มช่างฝันและโรแมนติก แต่ข้อเสียของเขาก็คือ บางครั้งเขาก็มีโลกของตัวเองมาก ขนาดไม่พูดจากับใครได้ทั้งวันหรือหมกมุ่นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

หมายเลข 8เป็นสุภาพบุรุษ ชอบใส่เสื้อผ้าแบรนด์เนมและชอบความหรูหราสะดวกสบาย เป็นคนฉลาด รู้ทันผู้หญิง เป็นคนหัวสูงและฉาบฉวย ชอบการพนัน

หมายเลข 9เป็นชายที่อบอุ่น ซื่อสัตย์ บางครั้งก็หลุดโลก ค่อนข้างเรื่องมากในการหาคู่ หากพบสาวถูกใจก็จะทำตัวเป็นปาท่องโก๋จนสาวคนรักปลีกตัวไม่ได้

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

10 เคล็ดลับการเลิกบุหรี่

หลายๆ คนอาจคิดที่จะเลิกบุหรี่มาแล้วหลายครั้งหลายหน บางคนที่เลิกได้แล้วสังเกตได้ว่าสุขภาพดีขึ้น หน้าตาผ่องใส และวันนี้เราได้นำเคล็ดลับการเลิกบุหรี่สำหรับคนที่กำลังคิดที่จะเลิกบุหรี่ มาฝากกัน...

1. ขอคำปรึกษา เพื่อให้มีแนวทางในการเลิกสูบบุหรี่ อาจโทรศัพท์เพื่อขอคำแนะนำในการเลิกสูบบุหรี่ได้ที่ ควิทไลน์ หมายเลข 1600 หรือขอคำปรึกษาจากคนที่รู้จักที่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้ สำเร็จ

2. หากำลังใจ ควรบอกให้คนใกล้ชิดได้ทราบถึงความตั้งใจที่จะเลิกสูบบุหรี่ เพราะกำลังใจจากคนรอบข้างจะช่วยให้มีความพยายามที่จะเลิกสูบบุหรี่ให้ได้

3. เป้าหมายอยู่ข้างหน้า ควรวางแผนในการปฏิบัติตัวในระหว่างการเลิกสูบบุหรี่ โดยกำหนดวันที่จะลงมือเลิกสูบบุหรี่ อาจเลือกเอาวันสำคัญต่าง ๆ ของครอบครัว เช่น วันเกิดตัวเอง วันครบรอบแต่งงาน หรือวันเกิดลูก เป็นต้น

4. ไม่รอช้า...ลงมือ ควรเตรียมตัวให้พร้อมด้วยการทิ้งอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ให้หมด เตรียมผลไม้หรือขนมขบเคี้ยวที่ไม่หวานหรือไม่ทำให้อ้วนไว้ เพื่อช่วยในการลดความอยากสูบบุหรี่ รวมทั้งปรับเปลี่ยนกิจกรรมที่มักทำร่วมกับการสูบบุหรี่ เช่น อ่านหนังสือแทนการสูบบุหรี่ระหว่างเข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ กินผลไม้ ลุกไปจากโต๊ะอาหารทันทีที่กินอาหารเสร็จ หรือแปรงฟันทุกครั้งหลังกินอาหารเพื่อลดความอยากสูบบุหรี่หลังอาหาร

5. ถือคำมั่น...ไม่หวั่นไหว เมื่อถึงวันลงมือ ขอให้ตื่นนอนด้วยความสดชื่น บอกกับตัวเองว่ากำลังทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองและคนใกล้ชิด เมื่ออยากสูบบุหรี่ก็ขอให้ทบทวนถึงเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ ล้างหน้า ดื่มน้ำ อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ไม่สูบบุหรี่หรือเล่นกับลูกให้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ผ่านพ้นความอยากสูบบุหรี่ได้ง่ายขึ้น

6. ห่างไกล สิ่งกระตุ้น ในระหว่างนี้ ขอให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่จะทำให้อยากสูบบุหรี่ เช่น ถ้าเคยดื่มกาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์แล้วต้องสูบบุหรี่ด้วย ก็ควรงดดื่มในช่วงนี้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ท่ามกลางคนสูบบุหรี่ด้วย

7. ไม่หมกมุ่นความเครียด เมื่อรู้สึกเครียด ให้หยุดพักสมองสักครู่ คลายความเครียดด้วยการพูดคุยกับคนอื่น ๆ หรือหาหนังสือไว้อ่านบ้างก็ได้ พึงระลึกไว้เสมอว่ามีคนไม่สูบบุหรี่อีกมากที่คลายความเครียดได้โดยไม่ต้อง สูบบุหรี่

8. เจียดเวลา ออกกำลังกาย ควรจัดเวลาออก กำลังกายบ้าง อย่างน้อยวันละ 15-20 นาที เพราะนอกจากจะเป็นการควบคุมน้ำหนักที่อาจเพิ่มขึ้นแล้ว ยังทำให้สมองปลอดโปร่ง เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของหัวใจและปอด ถ้าไม่มีเวลาก็ควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องทุ่นแรงต่าง ๆ เช่น กดลิฟท์ให้ต่ำกว่าชั้นที่ต้องการ 1 ชั้น เพื่อที่จะได้เดินออกกำลังกายบ้าง หรือควรใช้จักรยานในการเดินทางใกล้ ๆ

9. ไม่ท้าทายบุหรี่ อย่าคิดว่าจะลองสูบบุหรี่บ้างเป็นครั้งคราวคงไม่เป็นไร เพราะการทดลองสูบเพียงม้วนเดียว อาจหมายถึงการหวนคืนไปสู่ความเคยชินเก่า ๆ อีก

10. หากต้องเริ่มต้นใหม่อีกที ก็อย่าท้อ ถ้า หันกลับไปสูบอีก นั่นไม่ได้หมายถึงโลกได้ล่มสลายแล้ว ไม่ได้แปลว่าเป็นคนล้มเหลว อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้ที่จะปรับปรุงตัวในคราวต่อไป ขอให้ถือว่า อาจพ่ายแพ้ในบางสมรภูมิ แต่จะเป็นผู้ชนะสงครามในที่สุด ขอเพียงพยายามต่อไป จนเตรียมตัวให้พร้อม กำหนดวันที่จะหยุดและหยุดต่อไปตลอดกาล

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

รักต่างวัย จะไปกันรอดไหม

คุณผู้อ่านเป็นคนนึงรึเปล่าที่กำลังมีรักต่างวัย? ซุกซ่อนอยู่ 1 ใน 4 ห้องหัวใจดวงน้อยๆของท่าน เพราะเดี๋ยวนี้มองไปมุมไหนของสังคม ก็มักได้เห็น คู่รักต่างวัย อี๋อ๋อกันอยู่ร่ำไป ซึ่งบางคู่มีรักในลักษณะนี้อย่างเปิดเผย แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่มีความรักแบบนี้ซุกไซ้เอ้ยซุกซ่อนอยู่ในช่องหลืบของ หัวใจ

ว่า กันตามตรง การมีรักต่างวัยนั้น ไม่ใช่ เรื่องแปลกพิสดาร เพราะมีคู่รักน้อยคู่จะตายที่มี อายุเท่ากันเป๊ะๆ แถมไอ้ที่อายุเท่ากันเด๊ะๆน่ะ ส่วนใหญ่ มักเป็นเรื่องบังเอิญซะด้วยนะ ไม่ใช่แฟนกันคู่นั้นเค้าตั้งใจที่จะให้อายุเท่ากันหรอก

ดังนั้น โดยปกติทั่วไปคนส่วนใหญ่ย่อมเมียงมองหา คนเลิฟ ที่อายุห่างกันไม่มาก ต่างกัน ไม่เกิน 3-5 ปี ถ้าเป็นฝ่ายหญิงก็มักมองหาแฟนที่อายุมากกว่าไว้ก่อน ถามว่า ทำไมสาวๆถึงชอบมีแฟนเป็นผู้ใหญ่กว่าหรือ? โถ...ก็นี่เป็น 1 ในสเปกตามคุณสมบัติของแฟนที่ผู้หญิงจำนวนมากต้องการให้เป็นหยั่งงี้น่ะซี เอ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามดูละกัน! เพราะสาวๆน่ะ เป็นฝ่ายอยากถูกทะนุถนอมน่ะซี อีกอย่างนะ การที่ฝ่ายหญิงอยากมีแฟนอายุมากกว่าเพราะอยากมีแฟนเป็นคนมีความรับผิดชอบสูง นั่นเอง

แต่เท่าที่เห็น คู่รักของสาวๆยุคใหม่ ชักไม่ค่อยสนใจเรื่องอายุกันแล้วแฮะ สาวบางคนจึงเลือกมีแฟนเป็น คนเลิฟที่อายุน้อยกว่าให้เห็นถมเถ ซึ่งมีทั้งเป็นแฟนกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว จริงๆ (คือต่างฝ่ายต่างก็ยังโสด) ไปจน กระทั่งโมเมคบไว้เป็น “กิ๊ก” ไว้เชยชม (หยั่งงี้บางทีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดอาจมีแฟน ตัวจริงอยู่แล้วก็ได้) นั่นก็เอ่อ...เป็นความพอใจส่วนตัว ถ้าคู่นี้เค้าจูนคลื่นกันติดก็บ่เป็นหยั่งดอก ขออย่าให้แฟนจริงจับได้ไล่ทันก็ละกัน เดี๋ยวมีหึงกันบ้านสั่นละยุ่งเลย

งั้นเรามาตอบข้อสงสัยกันเถอะ ว่า “รักต่างวัย” จะไปรอดไหมนั่น? แต่ก่อนที่จะตอบได้ เอาอย่างนี้ก่อนดีก่า ถามว่า ถ้ามี แฟนเด็กกว่า นั้นมันดีอย่างไรเหรอ? สาวบางคนถึงได้หลงใหลได้ปลื้มกับเอ๊าะๆนัก บางรายก็หลงใหลได้ปลื้มลืมคนอื่นกันไปเลย

1. สาวใหญ่สารภาพว่า แหมมีเด็กไว้แนบข้าง ก็ได้อารมณ์เดียวกันกับที่ผู้ชายชอบแต๊ะอั๋ง เอ้ย ปรารถนาอยากมีแฟนสาวอายุน้อยกว่านั่นแหละ เพื่อทำให้จิตใจเบิกบาน, กระชุ่มกระชวยและฮึกเหิมไงล้า อันว่าคู่รักต่างวัยที่เป็นสาวใหญ่กับกิ๊กรุ่นน้องน่ะ สังเกตดิ่ว่า ช่วงที่หล่อนมีกิ๊กคราวลูกน่ะ อารมณ์ของหล่อนงี้ เบิกบานลิงโลดแบบที่ไม่เคยเห็นกันมาก่อน เลยว่ามะ โอ้ย...จะไม่ให้ดี๊ด๊า จี๋จ๋าได้ไง ในเมื่อมีแฟน เด็กกว่าเนื้อเด้งดึ๋งดั๋งกว่า ไม่ใช่เนื้อเหี่ยวๆ และผิวหนัง หยาบกร้านแบบหนุ่มใหญ่นี่หว่า

2. การมีแฟนเด็ก ทำให้ได้เรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ ที่ หนุ่มๆมีความสนใจอยู่ในขณะนั้นตามไป ด้วย เช่น จากไม่เคยรู้จักว่า เด็กๆชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ อะไรกันเนี่ย เพราะหล่อนมีเวลาไปเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ซะที่ไหน โห วัยปูนนี้แล้วจะไปรู้เรื่องจิ๊บๆของเด็กๆรึ แต่พอมีกิ๊กเด็กกว่าดิ่

ที นี้ล่ะรู้เลยว่า เด็กเค้าไปเที่ยวพับเที่ยวบาร์ ย่านไหนกัน แถมเรื่องกีฬา กีฬาที่ไม่เคยรู้ ไม่ค่อยดู เพราะดูแต่ละคร ทีนี้ก็รู้ล่ะว่า กีฬาอะไร น้า เป็นกีฬายอดฮิตที่หนุ่มรุ่นกระทง ชอบและสนใจเชียร์กันสนั่นหวั่นไหว เอ้า ก็ในเมื่อต่อไปนี้หล่อนต้องเชียร์ด้วยก็เงี้ยะ

3. สาวใหญ่บางรายที่มีหน้าที่การงานดีกว่าและรายได้มากกว่า แต่หันมาชอบเด็กเมื่อวานซืนซึ่งแม้เด็กจะมีรายได้จุ๋มจิ๋มกว่า แต่ก็โอเคนะ แถมไม่คิดด้วยว่า เป็นภาระสำหรับหล่อนแต่อย่างใด ก็ในเมื่อหัวใจเรียกร้องให้มีรักแบบนี้นี่ แล้วจะ คิดนู่น คิดนี่อีกทำไม โถ...สมเป็นแม่พระมาโปรดเด็กๆ เหลือเกิน...เฮ่อ

4. ทว่าสาวใหญ่บางคนก็อ้างว่าไม่ได้ เลี้ยงต้อยนะจ๊ะ เพราะเด็กที่หล่อนชอบน่ะ มีหน้าที่การงาน และมีรายได้เป็นของตัวเค้าเอง จึงไม่ต้องเลี้ยงดูปูเสื่อกัน เพราะต่างฝ่ายต่างก็มีรายได้จากงานประจำ แต่เอ้...นี่จะเป็นข้ออ้างให้ “เด็กของหล่อน” ดูดีขึ้นในสายตาคนรอบข้างรึเปล่าไม่รู้สิ

5. สาวใหญ่บางคนให้ทรรศนะว่า การมีแฟนสูงวัยกว่า บางทีก็คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง คุย ไม่ถูกคอ แถมทำให้ทะเลาะกันด้วย เอ้าสมมติ ถ้าหล่อนมีแฟนอายุมากกว่า หล่อนก็มักเกรงใจ หากเค้าบอกให้ทำอะไรก็ต้องทำอย่างงั้น หรือเค้ามีความคิดเห็นไปในทางไหน หล่อนก็ขัดเค้าไม่ค่อยได้ เพราะต้องให้เกียรติพี่เค้าก็งี้แหละ ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีแฟนเด็กกว่าน่ะเรอะ หล่อนจะมีโอกาสได้แสดงความเห็นของเธอเองเต็มที่ แล้วแฟนเด็กก็มักรับฟังซะด้วย เพราะยอมรับว่า หล่อนผ่านประสบการณ์มามากกว่า ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากกว่า ถึงได้ชอบอยู่กะเด็กมากกว่าไง...ก็หากไม่เจอเด็กเกเรก็ดีไปเนอะ

6.การมีแฟนเด็กอาจดีอีกอย่างตรงที่เด็กๆ เอาอกเอาใจสาวใหญ่เก่งกว่า เมื่อเทียบกับการที่หล่อนจะมีแฟนอายุมากกว่าเธอ ก็ได้นะเฟ้ย


เอ...ตกลงแล้ว รักต่างวัย แบบนี้จะไปรอดไหม? ของแบบนี้ก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของคู่ที่เลิฟกันนี่แหละ เพราะรักแบบไหนก็มีปัญหาทั้งนั้นล่ะวุ้ย ส่วนปัญหาของรักต่างวัยน่ะเรอะก็มี...

* ถ้าฝ่ายเด็กเกิดเบื่อสาวใหญ่ขึ้นมาแล้วเกิดอยากไปจีบสาวที่อายุไล่เลี่ยกะ เค้าเข้าล่ะ อุ้ยโหยว... หยั่งงี้เห็นทีสาวใหญ่ต้องหาทางแก้ลำ หรือทำใจให้ได้ตั้งแต่แรกคบจริงไหม

คู่รักต่างวัย ย่อม ถูกจับตามองจากคนรอบข้างแน่นอน ดังนั้น จึงต้องอาศัยความอดทนให้มาก แม้แต่ครอบครัวของฝ่ายที่เป็นคู่รักต่างวัยเองก็เถอะ อาจไม่เห็นด้วยกับความรักครั้งนี้ก็ได้ แต่ถ้าคู่รักคู่นี้มั่นใจว่าเหมาะสมกันละก็ แล้วอะไรจะไปทำให้คู่รักต่างวัยหวั่นไหวได้ล่ะฮ้า เดินหน้าต่อไปเลย...ลุย!

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย
เห็นว่าน่าสนใจจึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

การกลับดวงชะตา

การพลิกดวงชะตา กลับร้ายกลายเป็นดี ให้แคล้วคลาดปลอดภัยนั้นมีวิธี ก็คือ ให้คำนวณว่าในช่วงนั้นมีดาวอะไรที่กำลังเสวยอายุของคุณอยู่ ซึ่งหมายถึงว่าดาวนั้นกำลังให้คุณ หรือให้โทษแก่เราอย่างไร เช่น ดาวเสาร์กำลังเสวยอายุหรือกำลังให้โทษท่านอยู่ ซึ่งทางโหราศาสตร์ ดาวเสาร์เป็นดาวบาปเคราะห์ใหญ่ ทำให้ต้องเหน็ดเหนื่อย และมักมีเรื่องทุกข์ใจ ผิดหวังบ่อยครั้ง รวมทั้งมักพบปัญหาอุปสรรคอยู่เสมอ วิธีสะเดาะห์เคราะห์ให้นำพระปางนาคปรก นำไปถวายที่วัด และปล่อยปลา ให้ทาน สวดมนต์ ก็จะทำให้เคราะห์ร้ายกลายเป็นดี
เกิดวันอาทิตย์ ดาวที่ให้โทษ ดาวศุกร์ ให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางรำพึง ปล่อยปลา 21 ตัว บทสวด ขัดอังคุลิมาละ ปะริตตัง 21 จบ
เกิดวันจันทร์ ดาวที่ให้โทษ ดาวอาทิตย์ ให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางถวายเนตรปล่อยปลา 6 ตัว บทสวด โมระ ปะริตตัง 6 จบ
เกิดวันอังคาร ดาวที่ให้โทษ ดาวจันทร์ให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางห้ามญาติปล่อยปลา 15 ตัว บทสวด อะภะยะ ปะริตตัง 15 จบ
เกิดวันพุธ ดาวที่ให้โทษ ดาวอังคารให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางไสยยาสน์ ปล่อยปลา 8 ตัว บทสวด กะระณียะ เมตตะสุตตัง 8 จบ
เกิดวันพฤหัสบดี ดาวที่ให้โทษ ดาวเสาร์ ให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางนาคปรก ปล่อยปลา 10 ตัว บทสวด อังคุลิมาละ ปะริตตัง 10 จบ
เกิดวันศุกร์ ดาวที่ให้โทษ ดาวราหูให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางมารวิชัย ป่าเลไลย์ปล่อยปลา 12 ตัว บทสวด สุริยะ ปะริตตะ ปาโฐ 12 จบ
เกิดวันเสาร์ ดาวที่ให้โทษ ดาวพุธให้สะเดาะห์เคราะห์ด้วยพระปาง ปางอุ้มบาตรปล่อยปลา 17 ตัว บทสวด ขัตขันธะ ปะริตตะคาถา 17 จบ

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คำคมจาก ขงเบ้ง

1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
2. เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาสเพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว"ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
3. นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
4. ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
5. ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
6. ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
7. ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
8. ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
9. เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
10. เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ใน
สภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
12. ผู้ปกครองระดับธรรมดาใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
13. ผู้ปกครองระดับกลางใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
14. ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
15. อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
17. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
18. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร
19. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
20. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
21. เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.
22. สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ
23. คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
24. ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
25. คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

๖๐ ข้อคิดบันทึกไว้จากใจพ่อ

๑ ลูกจงจำไว้ว่า… การไม่ต่อสู้ในบางกรณี กลับเป็นวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ กว่าการต่อสู้ อย่างเอาเป็นเอาตาย
๒ ลูกจงอย่าเลือกของที่ชอบ ด้วยความอยากของลูก แต่จงเลือกด้วยสติปัญญา และพิจารณาถึงประโยชน์ และโทษของมันเสียก่อน
๓ ลูกจงอย่าโกรธคนไม่ดี ที่จริงเขาก็อยากดีเหมือนกัน แต่เขาไม่เข้าใจว่า อะไรเป็นความดี…อะไรคือไม่ดี
๔ ลูกจะตำหนิ ติเตียนใคร ก็จงดูตนเองเสียก่อน อย่าให้เขาย้อนว่าเราได้
๕ ลูกจะเห็นว่า ผู้มีสัมมาคาระวะ จะพบแต่ความเจริญ การอ่อนน้อม เป็นคุณสมบัติของสุภาพบุรุษ การยกมือไหว้ผู้อื่นได้ คือการทำลาย ตัวกู-ของกู
๖ ลูกพ่อต้องเป็นคนแข็งแรง…ไม่แข็งกระด้าง ลูกพ่อต้องเป็นคนเรียบง่าย…ไม่มักง่าย ลูกพ่อต้องเป็นคนอ่อนโยน..ไม่อ่อนแอ
๗ ลูกของพ่อ..คล่องแคล่วว่องไว เป็นปัจจัยแห่งความก้าวหน้าของครอบครัว
๘ เงินทองที่ลูกมี ยิ่งใช้ยิ่งหมดไป ปัญญาที่ลูกหาได้ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่มพูน
๙ ถ้าลูกทำเด่น จะถูกคนเขาเขม่นและสมน้ำหน้า ลูกจะพลาดท่าลงมา..เพราะ ความอยากเด่นอยกดัง
๑๐ ลูกจงจำไว้ว่า เงินทองเป็นของนอกกาย พ่อ แม่ สุขใจ เมื่อพี่น้องรักกัน
๑๑ ลูกจงโอนอ่อนผ่อนตาม อย่างฉลาดและสุขุม การพ่ายแพ้ด้วยศิลปะ ดีกว่าการชนะด้วยอารมณ์
๑๒ ความกล้าหาญต้องประกอบด้วยสติปัญญา ถ้าลูกกล้าโดยไม่มีสติปัญญา เขาเรียกว่าคนบ้าบิ่น
๑๓ ลูกต้องทำทุกอย่างด้วยความสุจริต เมื่อสุจริต จิตผ่องใส เมื่อทุจริต จิตหมองไหม้
๑๔ ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่สิ่งจำเป็น ที่พ่อแม่จะให้แก่ลูก ความรู้และความประพฤติดีเท่านั้น ที่พ่อแม่ควรมอบให้แก่ลูก…อันเป็นที่รัก
๑๕ ลูกหลีกทางให้เขา ก็คือหลีกทางให้เราหลุดพ้นจากอันตราย ในที่สุดก็จะได้รับผลดีด้วยกัน ทั้งเขาและเรา
๑๖ ปลายทางสุดท้ายของความไม่พอ คือ…ความทุกข์
๑๗ ลูกจงจำไว้ว่า… ผู้ที่ไม่มีใครให้อภัยผู้อื่น คือผู้อ่อนแอทางจิตใจ การให้อภัยศัตรู คือการ สร้างมิตร
๑๘ ถ้าผู้อื่นหลอกเรา เรารู้ง่ายและแก้ไขได้ง่าย แต่ถ้าเราหลอกตัวลูกเอง รู้ยาก แก้ไขได้ยาก
๑๙ ลูกควรจำสิ่งที่ควรจำ ลืมสิ่งที่ควรลืม ทำสิ่งที่ควรทำ และต้องรู้ว่า สิ่งใดควรทำก่อน สิ่งใดควรทำทีหลัง
๒๐ เมื่อลูกสังเกตดู จะพบว่า ภายหลังเสียงหัวเราะ จะมีน้ำตา ภายหลังเสียน้ำตา จะเห็นแสงธรรม คือความจริงของชีวิต
๒๑ หกล้มเพราะก้าวเดินไปข้างหน้า ยังดีกว่าลูกยืนเต๊ะท่าอยู่กับที่ เพราะถ้าลูกยืนไม่ดี…ก็จักมีคนมาถีบให้ล้มอยู่ดี
๒๒ ลูกจงหาความสุขกับปัจจุบัน อย่าใฝ่ฝันถึงอนาคต อย่าหมกอยู่กับอดีต จะทุกข์
๒๓ โชค…เข้าข้างผู้ที่มีความอ่อนน้อมเสมอ ถ้าลูกเป็นผู้น้อยที่นอบน้อมผู้ใหญ่ ใคร ๆ ก็รัก ถ้าลูเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจผู้น้อย ผู้น้อยก็มีความภักดี
๒๔ ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือยากำลัง ขอให้ลูกคิดอยู่เสมอว่า ถ้ามีสิ่งใดในโลก ที่ผู้อื่นทำได้ ไม่มีเหตุผลอะไร ที่เราจะทำไม่ได้
๒๕ ความโศกเศร้าเสียใจ มิได้ทำให้ใครได้รับประโยชน์อะไร นอกจากทำให้ศัตรูของเราดีใจและ สมน้ำหน้า
๒๖ เมื่อพบภัยที่อยู่ข้างหน้า จงหนีเข้าหาพระดีกว่าหนีเข้าหาโจร ซึ่งโจรจักฉกฉวยโอกาสเอาจากเราเสมอ …อย่างคาดไม่ถึง
๒๗ คนเรามีความโลภทุกคน ถ้าโลภมาก…ก็จะทุกข์มาก ถ้าโลภน้อย…ก็จะทุกข์น้อย ถ้าไม่โลภ…ก็จะไม่ทุกข์
๒๘ ถ้าลูกประพฤติดี ลูกก็จะพบกับคนประพฤติดี ถ้าลูกประพฤติชั่ว ลูกก็จะพบกับคนประพฤติชั่ว ขอให้ลูกเลือกคบให้ถูกต้องเถิด ลูกจักเป็นคนที่โชคดี
๒๙ ลูกอย่ากลัวไปเลยว่า จะได้แต่งงานกับคนไม่ดี ถ้าลูกไม่สูบ ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยว ลูกก็จะพบคู่ครองที่ไม่สูบ ไม่ดื่ม ไม่เล่น ไม่เที่ยวเช่นกัน
๓๐ ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ต้องการคำอ่อนหวาน ลูกก็เช่นกัน ควรพูดคำอ่อนหวานแก่ผู้อื่น เมื่อลูกอ่อนหวานแก่ผู้อื่น ผู้อื่นก็จะอ่อนหวานกับลูก
๓๑ ลืมอะไรก็ลืมได้ แต่อย่าลืมตัว เสียอะไรก็เสียได้ แต่อย่าเสียคน ผิดอะไรก็ผิดได้ แต่อย่าผิดศีลธรรม
๓๒ ลูกจงจำไว้ว่า… ศัตรูวันนี้ อาจเป็นมิตรในวันหน้า เพราะฉะนั้น อย่าทำอะไรเขารุนแรงและเกินเลย
๓๓ ลูกจงสนุกกับการใช้เงิน และพร้อมกันนั้น ลูกต้องสนุกกับการเก็บรักษาเงินด้วย และยิ่งกว่านั้น ต้องสนุกกับการหาเงินอย่างไม่เป็นทุกข์ คือหาด้วยความถูกต้อง
๓๔ การกระทำของลูก บางครั้งยังไม่ถูกใจตนเอง แล้วจะให้คนอื่นทำถูกใจเราเสมอไป ได้อย่างไร คิดแค่นี้ลูกก็จะไม่โกรธคนอื่น
๓๕ ถ้าลูกกล้าอย่างถูกต้อง ก็จะเป็นผู้ฉลาด ถ้าลูกกล้าอย่างบ้าบิ่น ก็จะเป็นคนโง่ ขอให้ลูกจงกล้าหาญอย่างชาญฉลาด
๓๖ บาปและบุญทั้งปวงที่ลูกกำลังทำในขณะนี้ สักวันหนึ่งจักรวมตัวกันมาสนองแก่ลูก สิ่งที่ลูกได้รับอยู่ทุกวันนี้ เป็นผลจากการกระทำของลูกทั้งสิ้น
๓๗ ลูกจงจำไว้ว่า… ธรรมชาติไม่เคยให้อภัยใคร ใครทำอย่างใด ต้องได้รับอย่างนั้น แต่ธรรมชาติก็ให้โอกาสทุกคนเสมอ แต่คนเรา…โดยส่วนมาก ไม่ค่อยยอมรับโอกาสนั้น
๓๘ เมื่อมีปัญหา แก้ให้ถูกจุด จักพ้นทุกข์เร็ว อย่าเป็นเช่นคุณยายแก่ ๆ มองหาเข็มที่เสาไฟ เพราะมีแสงสว่าง แต่หาเท่าใดก็ไม่พบ เพราะเหตุว่าแก้ปัญหาไม่ถูกจุด เข็มหายในบ้าน แล้วมาหานอกบ้าน เพียงเพราะในบ้านไม่มีแสงไฟฟ้า… น่าขันไหมล่ะ
๓๙ ลูกจงจำไว้ว่า คนเห็นแก่เงิน คบยาก คนเห็นแก่งาน คบง่าย คนเห็นแก่ผู้อื่น คบสบาย
๔๐ ถ้าลูกปราถนาให้ผู้อื่นรัก ลูกต้องทำตัวให้น่ารัก ลูกจึงจะเป็นที่รักของผู้อื่น
๔๑ ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม สำคัญที่สุด…ลูกอย่าข้ามตัวเอง
๔๒ ผู้กล้าหาญ คือผู้ที่สามารถบังคับตัวเองได้ ถ้าลูกจักปลูกต้นไม้ ต้องบำรุงราก แต่ถ้าจะปลูกจิตใจ ต้องบำรุงด้วยศีล ด้วยธรรม
๔๓ ลูกเกิดเป็นคนแล้ว ต้องพยายามทำดีที่สุด เมื่อทำดีที่สุดแล้ว นอกนั้นแล้วแต่ฟ้าลิขิต โบราณว่า ลิขิตเป็นของฟ้า ( ผลของการกระทำ ) ชะตาเป็นของคน ( การกระทำของตัวเอง )
๔๔ ลูกควรจะยอมผิดใจกับคนสุภาพชน แต่อย่าผิดใจกับคนพาล จะเดือดร้อนอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง
๔๕ การไม่ระวังการใช้จ่าย เล็ก ๆ น้อย ๆ อาจทำให้ล่มจมได้ ดังเช่นเรือมีรูรั่วเล็กๆ อาจทำให้เรือใหญ่จมได้
๔๖ โรคภัยทางร่างกาย จะเข้ามาทางปาก ภัยพิบัติ ก็จะออกจากปากของเราเช่นกัน เมื่อลูกจะพูดสิ่งใด จงพิจารณาให้ดีๆ
๔๗ การโกรธ เป็นวิสัยของปุถุชน การให้อภัย เป็นวิสัยของบัณฑิต ลูกพ่อจะเป็นบัณฑิต จึงต้องฝึกการให้อภัย ด้วยความมีเมตตา เพราะเมตตาแก้ความโกรธได้
๔๘ การเดินทางหมื่นลี้ต้องมีก้าวแรก ยามลูกมีอำนาจ จงอย่าเหลิงอำนาจ ยามลูกมีความสุขก็อย่างหลงระเริง ระวังความทุกข์จักตามมา
๔๙ ถ้าลูกให้เงินเพื่อนยืม…ระวัง จะเสียเงิน…จะเสียเพื่อน…จะเสียใจ เพราะฉะนั้นลูกอย่าให้เงินใครยืม ถ้ามีก็ให้เขาไปเลย
๕๐ ถ้าลูกระแวงสงสัยใครแล้ว ลูกอย่าทำธุรกิจร่วมกัน เพราะจะมีแต่ระแวงกัน การงานไม่ราบรื่น ความทุกข์จะเข้ามาในจิตใจลูก
๕๑ เรือที่ออกทะเล ปฏิเสธคลื่นลมไม่ได้ ฉันใด ชีวิตของลูก ปฏิเสธอุปสรรคไม่ได้ ฉันนั้น
๕๒ ลูกสังเกตดูจักรู้ว่า ผู้เป็นคนดี มักอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้โง่เขลามักหยิ่งยโส ทะนงตน คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด คนโง่มักอวดตัวว่าฉลาด หรือยากให้คนอื่นรู้ว่าฉลาด จึงโอ้อวด คุยเบ่ง ทับถมคนอื่น ส่วนคนฉลาดมักไม่อวดตัว จักเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยโส ไม่โอหัง และชอบประกาศความดีของผู้อื่น
๕๓ แมลงผึ้ง ชอบของหอมของหวาน แมลงวัน ชอบของเหม็นของเน่าเสีย ถ้าลูกชอบสิ่งที่ไม่ดี คบคนไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ไปสู่สถานที่ไม่ดีแล้ว ลูกก็จะเปรียบเช่นแมลงวัน ซึ่งไม่มีใครชอบหรืออยากจะให้ความรัก แต่ถ้าลูกคิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี และไปแต่เฉพาะที่ดี ลูกก็เป็นเช่นแมลงผึ้ง คนดีใคร ๆ ก็อยากคบด้วย ถ้าลูกเป็นแมลงผึ้ง ลูกก็จะได้พบกับดอกไม้ ถ้าลูกเป็นแมลงวัน ลูกก็จะได้พบกับของเน่าเหม็น คำโบราณว่าไว้ ขี้เกียจ เป็นแมลงวัน ขยัน เป็นแมงผึ้ง
๕๔ ผู้ที่รู้จักประมาณตน เป็นคนฉลาด ลูกควรใช้จ่ายตามฐานะ ลูกจักไม่ขัดสนตลอดไป
๕๕ ถ้าลูกมีความพากเพียรและถ่อมตนแล้ว ภายใต้ท้องฟ้า…ลูกของพ่อจักทำได้ทุกสิ่ง ธรรมะสอนไว้ว่า คนล่วงทุกข์ได้ เพราะความเพียร
๕๖ ถ้าลูกทำงานด้วยความรีบร้อน ร้อนรน มักทำความผิดพลาด มาให้ลูกเสมอ ลูกต้องทำด้วยความรวดเร็ว แบบมีสติ จึงจะประสบความสำเร็จได้ อย่างถูกต้องและราบรื่น
๕๗ การนินทาและว่าร้ายต่อผู้อื่น… มันเจ็บปวดมากว่ามีดที่กรีดเนื้อเขา มากมายหลายเท่านัก เมื่อลูกเข้าใจอย่างนี้แล้ว อย่านินทา อย่าว่าร้ายผู้อื่นเลย เพราะเมื่อเขาเจ็บปวดเพราะคำพูดของเราแล้ว เขาก็สามารถทำความผิดกับเราได้ เราก็เดือดร้อน
๕๘ คนขี้เกียจ มักอ้างว่า ยังไม่ต้องทำ เพราะเช้าไป เพราะเย็นไป เพราะร้อนไป เพราะหนาวไป เพราะฝนตก เพราะแดดออก ถ้าลูกอ้างอย่างนี้ จะทำอะไรก็จะไม่สำเร็จ
๕๙ ในสมัยนี้ ใครก็ชอบแต่ของดี ๆ แต่ไม่รู้ว่า อย่างไรถึงจะดี จึงขอเตือนว่า ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคิด ลูกต้องคิดแต่ดีดี ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่พูด ลูกต้องพูดดีดี ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่ทำ ลูกต้องทำดีดี ลูกของพ่อ…อย่าดีแต่จะคบคน ลูกต้องคบคบดีดี ลูกของพ่อ…ดีแต่จะไป ลูกต้องไปดีดี ลูกจง คิดดี พูดดี ทำดี คบคนดี ไปสู่สถานที่ดีดี
๖๐ ถ้าลูกละเลยเรื่องเล็กน้อย กระทำผิดเพียงเล็กน้อยในปัจจุบัน ลูกอาจต้องเสียใจอย่างใหญ่หลวง ในภายหน้า คิดกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นคิดไม่ดีกับเรา ในวันหน้า ทำกับผู้อื่นไม่ดี ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นกระทำต่อเราไม่ดี ในวันหน้า รังแกผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นรังแก ในวันหน้า โกงผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกง ในวันหน้า โกหกผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นโกหกในวันหน้า เหยียดหยามผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นเหยียดหยาม ในวันหน้า โกรธผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่น ในวันหน้า ริษยา อาฆาตผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นริษยา อาฆาต ในวันหน้า ฆ่าผู้อื่น ในวันนี้ อาจถูกผู้อื่นฆ่า ในวันหน้า ในทางตรงกันข้าม… ถ้าลูกรักและเมตตาผู้อื่น ในวันนี้ ลูกก็จักได้รับความรักและเมตตา ในวันข้างหน้า

ก่อนจบท้าย หน้าที่ที่ลูกควรปฏิบัติต่อผู้อื่น คือ การมอบน้ำใจให้แก่กันและกันดังต่อไปนี้
๑. ลูกควรมองทุกคนที่พบกันด้วยสายตาที่เป็นมิตร
๒. ลูกควรยิ้มให้ทุกคนที่พบกัน เริ่มแรกยิ้มด้วยสายตา ยิ้มด้วยใบหน้าและริมฝีปากและด้วยจิตใจที่เป็นกันเอง
๓. ลูกควรทำความรู้จักกับผู้อื่นด้วยการยิ้มและทักทาย
๔. ลูกควรโบกมือส่งยิ้มให้กับเด็ก ๆ ที่ลูกพบเห็นโดยทั่วไป
๕. ลูกควรมองคนในแง่ดี ให้มองว่าไม่มีใครจะเลวทั้งหมด
๖. ลูกควรมองว่าคนเราเป็นมิตรกันได้แม้จะมีความคิดต่างกัน
๗. ลูกควรกล่าวคำสวัสดี ยกมือไหว้ ยิ้มหรือก้มหัวตามความเหมาะสม ตามฐานะของตนแล้วแต่กรณี
๘. ลูกควรพยายามเรียกชื่อคนที่เราสนทนาด้วยระวังอย่าเรียกชื่อคนผิด
๙. ลูกควรตั้งใจรับฟังคนอื่นพูด อย่าขัดคอเขา ต้องรู้จักสังเกตให้ดี
๑๐. ลูกควรใช้คำพูดให้ติดปาก คือคำว่า ขอบคุณ ขอโทษ
๑๑. ลูกควรพูดด้วยความสุภาพ ไพเราะ อ่อนหวาน ไม่พูดหยาบคาย
๑๒. ลูกควรพูดชมเชยผู้อื่นเป็นประจำ
๑๓. ลูกควรพูดถึงคนอื่นและผู้บังคับบัญชาในด้านดีกับคนที่เขารู้จัก
๑๔. ลูกควรรู้จักขัดแย้งโดยไม่ให้เขาเสียน้ำใจ
๑๕. ลูกควรพูดคุย ในสิ่งที่ผู้คุยให้ความสนใจ
๑๖. ลูกควรหาเรืองดีดี หรือเรื่องคนทำดีมาคุยกันบ้าง
๑๗. ลูกควรหาเวลางดเว้นการพูดที่ไม่ดี หรืองดเว้นการโกรธอย่างน้อย ๑ วันต่อสัปดาห์
๑๘. ลูกไม่ควรหาเรื่องจับผิดคนอื่นโดยไม่ใช้ปัญญา
๑๙. ลูกควรให้ความเห็นใจ ปลอบใจคนที่กำลังมีความทุกข์

ด้วยรัก….จาก พ่อ

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต

วิ่งตามอะไรกันในชีวิต
มีเรื่องเล่าว่า... มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ... วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...
จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน... ก่อนทอดกฐิน..ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา... หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา... บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย... หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...
ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ... หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ... พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี... เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง... ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว... โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...
หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที... ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ... หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้... ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...
หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว... ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา... แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...
มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม... ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...
เราอยากสวย...อยากทันสมัย... ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่... ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า... อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่... ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...
ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด... ๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...
ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก... ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว... ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...
เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา... เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย... ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่... เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส... เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...
ปัจจุบัน... เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน... ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน... น่าสงสารไหมโยม...
คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น... ด่าว่า...หมามันโง่... ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...
ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา... หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

เรื่องของกบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง

เรื่องของกบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง มีกลุ่มชนชาวกบมากมายมารอชม และเชียร์การแข่งขันครั้งนี้

การแข่งขันเริ่มขึ้น...
พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีชนชาวกบตัวใด จะเชื่อว่า เจ้ากบตัวเล็กๆ เหล่านั้นจะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้
มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า “เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอก มันยากลำบากขนาดนั้น” หรือ “เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น”
เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านี้ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัว ทีละตัว ... ยกเว้นเจ้าตัวหนึ่งซึ่งยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น และ สูงขึ้น ....
ฝูงกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก!"
กบส่วนใหญ่เริ่มเหนื่อย และยอมแพ้... ...แต่มีกบตัวหนึ่ง ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น สูงขึ้น ...
เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้!
เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่นๆ ต่างยอมแพ้ที่จะปีนสู่ยอดเสาจนหมดสิ้น ยกเว้นกบตัวเล็กๆตัวหนึ่ง ด้วยความพยายามอย่างสุดกำลังมันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้!
กบทุกๆตัวอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้ทำได้อย่างไร? กบคู่แข่งขันต่างอยากรู้ว่า เจ้ากบเล็กๆตัวนี้ มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสา อันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร?
เรื่องกลับกลายเป็นว่า...
กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!

เรื่องนี้บอกให้รู้ว่า:
อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือการมองในแง่ลบ จากคนอื่น... …เพราะเขาเหล่านั้นจะดึงความฝัน ความปรารถนาในหัวใจของคุณออกไป! ให้ระวังในพลังของคำพูดเสมอ เพราะทุกสิ่งที่คุณได้ยิน และได้อ่าน มันจะส่งผลต่อการกระทำของคุณ!
เพราะฉะนั้น: ตลอดเวลา ขอให้เป็นคนคิดบวก!
และเหนือจากนั้น: จงทำหูหนวก ต่อคำพูดของผู้คนที่บอกว่า คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้ ให้คิดเสมอว่า คุณสามารถทำมันได้!

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ส้ม 9 ลูก

fwdmail

มีผู้ใจดีซื้อส้มชั้นดีคัดพิเศษ 9 ลูก ราคา 45 บาท แล้วจากนั้นก็แจกให้กับคนกลุ่มหนึ่ง ...

ส้มผลแรก อยู่กับขอทาน ขอทานผู้นั้นแกะทานแค่ครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งหนึ่งก็ ขว้างทิ้งไปอย่างไม่แยแส แล้วก็บ่นว่า " ทุเรศจัง ... ให้มาได้แค่ส้มผลเดียว "

ส้มผลที่สอง อยู่กับลูกของผู้ใจดี ลูกของผู้ใจดีนั้นก็แกะทานทันที เมื่อทานหมดผลแล้ว ก็พูดว่า ... " ส้มนี้อร่อยดีนะ "

ส้มผลที่สาม อยู่กับแม่ของผู้ใจดี แม่ของผู้ใจดีนี้ นำส้มที่ได้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม แล้วแช่ตู้เย็นไว้ เมื่อกระหาย จึงนำมาดื่ม ... " แหมม..น้ำส้มนี้ชื่นใจดีจริง "

ส้มผลที่สี่ อยู่กับร้านขายของชำ เจ้าของร้านขายของชำก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้ว แช่ไว้ในตู้แช่ เมื่อมีคนเดินผ่านมาเปิดตู้แช่ แล้วหยิบน้ำส้มแก้วนั้นมาทาน เมื่อทานเสร็จ ก็นำแก้วเปล่านั้นวางไว้ที่ตู้แช่ ... " เท่าไหร่ครับ " " 10 บาท ครับ "

ส้มผลที่ห้า อยู่กับพ่อค้าน้ำผลไม้ พ่อค้าน้ำผลไม้ก็นำส้มผลนี้ ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่ขวดพลาสติก แช่ไว้ในตู้น้ำแข็งบนรถเข็น แล้วเดินเข็นจำหน่ายไปเรื่อยๆ มีคนหนึ่งเดินสวนมา เรียกให้หยุด เสร็จแล้วก็เปิดตู้น้ำแข็ง ก็ชี้เอาน้ำส้มขวดนั้น คนขายหยิบน้ำส้มขวดนั้น เปิดหยิบหลอดพลาสติกเสียบให้ หนึ่งหลอดแล้วส่งให้คนๆนั้น ... " เท่าไหร่ครับ " " 20 บาท ครับ " และคน ๆ นั้นก็ถือขวดพลาสติกบรรจุน้ำส้มนั้นเดินจากไป

ส้มผลที่หก อยู่กับร้านอาหารแห่งหนึ่งบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำย่านลาดพร้าว เจ้าของร้านอาหารแห่งนี้ก็นำส้มผลนี้ไปคั้นเป็นน้ำส้ม เหยาะเกลือนิด เติมน้ำตาลหน่อย ปรุงได้ที่แล้วก็นำไปใส่แก้วแล้วแช่ไว้ในตู้เย็น วันนั้นมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินเข้ามา เจ้าของร้านจึงเชื้อเชิญ และหาที่นั่งให้ ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มแก้วหนึ่ง ค่ะ " ฝ่ายชาย ... " กาแฟ ร้อน ครับ " เจ้าของร้านจึงนำน้ำส้มที่คั้นไว้นำมาใส่แก้วใบใหม่ แก้วใบนี้มีลักษณะทรงสูง รอบๆ แก้ว มีรูปหัวใจ ดวงเล็ก ๆ น่ารัก สีแดงติดอยู่ ภายในแก้วใบนั้นมีหลอดพลาสติกเสียบอยู่ ตรงปลายหลอดนั้นงอได้ แต่เจ้าของร้านไม่ได้มาเสริฟเอง แต่มีเด็กเสริฟใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาว กระโปรงสีดำมาเสริฟ แทน เมื่อทานเสร็จ ... เช็คบิล ... น้ำส้มแก้วนี้ 50 บาท

ส้มผลที่เจ็ด อยู่กับภัตตาคารแห่งหนึ่งแถวริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ครั้งนี้ส้มผลนี้ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่งของร้าน น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่งและเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี และในวันนั้น มีชายหญิงคู่หนึ่งเดินเข้าภัตตาคารนั้นมา และมีความประสงค์ที่จะลงเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อชมทิวทัศน์ในยามค่ำคืนด้วย ฝ่ายหญิง ... " น้ำส้มคั้นแก้วหนึ่งค่ะ " และแล้วน้ำส้มคั้นแก้วที่วางอยู่ตรงหน้าหญิงสาวผู้นั้น ถูกเสริฟโดย บริกรในชุดประจำร้านที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านนั้น แก้วที่ใช้เป็นทรงสูงมีก้านสำหรับจับ หลอดเป็นหลอดพลาสติกใสตรงปลายหลอดงอได้ สิ่งที่โดดเด่นนั้นอยู่ตรงที่บริเวณขอบปากแก้วนั้น มีส้มที่ถูกฝานเป็นวงกลมเสียบอยู่ เมื่อเรือจะเข้าเทียบฝั่ง ... สิ่งที่ปรากฎในบิลนั้น ... 100 บาท เป็นราคาของน้ำส้มแก้วนี้

ส้มผลที่แปด อยู่กับคลับเฮาซ์สุดหรูย่านปทุมธานี และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้นเหมือนกัน ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดีเช่นเดียวกัน ในค่ำคืนนั้นมีงานราตรีของกลุ่มสาวไฮโซกลุ่มหนึ่ง และหนึ่งในนั้นก็สั่ง ... " น้ำส้มคั้นหนึ่ง " ... น้ำส้มคั้นแก้วนี้ถูกเสริฟโดยบริกรหนุ่มหน้าตาคมสันคนหนึ่ง มาในชุดทักซิโดที่ตัดด้วยผ้ามูนอย่างดี สิ่งที่อยู่บนฝ่ามือของบริกรหนุ่มคนนั้นคือ ถาดสีเงิน บนถาดนั้นมีแก้วน้ำส้มคั้นตั้งอยู่ แก้วที่บรรจุน้ำส้มคั้นใบนี้ ป็นแก้วคริสตัลทรงสูงเจียรนัยอย่างดี เป็นแก้วที่สั่งทำเป็นพิเศษตรงขอบปากแก้ว มีส้มกลีบหนึ่งที่ถูกแกะสลักเป็น รูปนกตัวหนึ่งเกาะ(เสียบ)อยู่ที่ปากแก้วนั้น หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส บนถาดใบนั้นที่มาพร้อมแก้วคริสตัล มีสลิปบัตรสมาชิกคลับเฮาซ์แนบมาด้วย ... 300 บาท ... ก่อนที่หญิงผู้นั้นจะจดปากกาเซ็นลงไป

ส้มผลที่เก้า อยู่กับโรงแรมแห่งหนึ่งย่านริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา และเช่นเดียวกันส้มผลนี้ไว้ถูกทำเป็นน้ำส้มคั้ เหมือนกัน ถูกปรุงแต่งโดยบาร์เทนเดอร์มือหนึ่ง น้ำส้มคั้นที่ได้นั้นถูกปรุงแต่ง และเก็บรักษาไว้ในตู้แช่อย่างดี ค่ำคืนนี้ ห้องอาหารชั้น Sky Top มีโอกาสต้อนรับหนุ่มสาวชาวต่างประเทศคู่หนึ่ง ที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ดินเนอร์ เนื่องในโอกาสฉลองสมรส และเลือกเมืองไทยเป็นที่ฮันนีมูน เมื่อหาที่นั่งในห้องอาหารแห่งนี้ได้แล้ว ณ มุมมองตรงนั้น สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของเกาะรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจน ตลอดจนสายน้ำที่ทอดยาวของลำน้ำเจ้าพระยา เมื่อทอดสายตามองยาวออกไป จะมองเห็นสะพานแขวนที่ถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟอย่างสวยงาม หลังจากพักผ่อนอิริยาบทสักพักหนึ่งแล้ว ฝ่ายหญิงจึงกล่าวกับบริกรว่า ... " Orangeade " ... และฝ่ายชายว่า ... " American Expresso " ... สักพักบริกรที่อยู่ในชุดไทยสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นท่านนั้นกลับมา พร้อมกับกาแฟร้อน และน้ำส้มคั้นแก้วหนึ่ง แก้วนั้นเป็นแก้วคริสตัลอย่างดี ตรงฐานแก้ว และขอบปากแก้วเคลือบด้วยทอง 18 เค ถัดจากฐานรองแก้วตรงขอบที่เคลือบทองขึ้นมา และถัดจากขอบที่เคลือบทองที่ปากแก้วลงมาถูกเจียรนัยตกแต่งอย่างดี เมื่อแสงไฟตกกระทบถูกแก้วเจียรนัยใบนี้จะเป็นประกายแวววับ ยิ่งภายในใช้บรรจุน้ำส้มคั้นด้วยแล้วยิ่งทำให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ตรงกลางของแก้วใบนี้ มีตราสัญลักษณ์ของโรงแรมแห่งนี้ติดอยู่ เป็นเคลือบทอง 18 เค เช่นเดียวกัน หลอดที่ใช้เป็นหลอดแก้วใส ตรงปลายได้ขดเป็นเกลียว ตรงขอบปากแก้วมีดอกกล้วยไม้ที่มีชื่อว่า " ช้างเผือก " เสียบอยู่ เมื่อแสงไฟที่เป็นหลอด Black Light ส่องมากระทบกับ " ช้างเผือก " ดอกนี้ จะเกิดเป็นสีขาวเรือง ๆ ขึ้นมาอย่างสวยงาม บริกรโค้งคำนับก่อนที่จะเสริฟ และโค้งคำนับเมื่อเสริฟเสร็จแล้ว หลังจากที่หนุ่มสาวคู่นี้ดื่มด่ำกับบรรยากาศในค่ำคืนนี้พอสมควรแล้ว ฝ่ายชายจึงกล่าวกับบริกรขึ้นว่า ... " Cash Please " บริกรโค้งคำนับ ก่อนที่จะเดินไปที่แคชเชียร์ Ticket ที่ออกมา ... Orangeade 500 Baht ...

ส้มเหมือนกัน ราคาโดยเฉลี่ยแล้วผลละ 5 บาทเหมือนกัน อาจจะเป็นพันธุ์เดียวกัน ต้นเดียวกัน อยู่กิ่งก้านเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่ช่อเดียวกันด้วยซ้ำไป แต่ทำไมมูลค่าของส้มถึงต่างกันมากมาย หรือว่าเป็นเพราะเวลาและสถานที่ต่างกัน ครับ ... ช่วงเวลา สถานการณ์ และสถานที่ที่ต่างกันนั่นแหละ เป็นตัวกำหนดมูลค่าของส้ม และ ... ของตัวคุณเอง !!!! บ่อยครั้งที่เราเคยท้อแท้กับงาน การตกงาน คนรอบข้าง ครอบครัว หรือแม้กระทั่ง กับ ตัวเราเอง แต่อยากจะบอกว่า ... ขอให้อดทนเพราะช่วงเวลานี้ ... มันไม่ใช่ของเรา

ส้มนั้นถูกคนเป็นผู้กำหนดจนทำให้มีมูลค่าแบบนั้น แล้วทำไมเราไม่กำหนดมูลค่าของตัวเราขึ้นมาบ้างหละ ณ วันนี้เราอาจจะมีมูลค่าไม่ถึงครึ่งของส้มที่ขอทานกินแล้วโยนทิ้งไป แต่เชื่อแน่ว่า หากเราได้ตัดสินใจแล้วว่า ทางเดินเส้นนี้เราได้ตัดสินใจเลือกที่จะเดินแล้ว จงตั้งมั่นและก้าวต่อไป อดทนเพื่อรอเวลาของเรา ไม่แน่นะว่า มูลค่าของเราอาจจะมากมายเกินกว่าที่เราจะคาดคิดก็เป็นไป

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

บทเรียนที่จะทำให้คุณรักตัวเองมากขึ้น

fwdmailบทเรียนที่จะทำให้คุณรักตัวเองมากขึ้น ในชีวิตดูเหมือนคนเราจะสามารถรักและยอมรับความแตกต่างของคนอื่นได้ง่าย แต่ในขณะเดียวกันกลับมีปัญหาในการยอมรับและให้อภัยตนเอง คนเราดูเหมือนจะไม่ยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบในตัวเอง และพยายามผลักดันตนเองไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างหนัก บางทีมันคงถึงเวลาแห่งการปล่อยวาง และเริ่มต้นที่จะรู้จักรักตนเองให้มากขึ้น

ขั้นแรก ต้องรู้ว่าคุณคือใคร เป็นเพื่อน เป็นลูก เป็นคู่รัก เป็นลูกจ้างนายจ้าง หรือคู่สมรสของใครบางคน ไม่ว่าบทบาทหน้าที่ของคุณจะเปลี่ยนอย่างไรคุณยังคงเป็นคุณ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนความจริงข้อนี้ได้

ขั้นต่อไป คือหาเวลาเพื่อที่จะรักตนเอง มักมีคำกล่าวเกี่ยวกับความรักที่โรแมนติกว่าความรักสามารถแสดงออกได้ทางการกระทำไม่ใช่คำพูด ลองเรียนที่จะนำมันมาใช้กับคุณสิ แล้วคุณจะมีความรักกับตัวคุณเอง ที่รักของฉัน... เขียนจดหมายรักให้กับตัวเอง ในจดหมายบรรยายถึงสิ่งที่คุณชอบที่สุดในตัวเองและสิ่งที่คุณตั้งใจจะปรับปรุง เก็บมันไว้ในที่พิเศษที่คุณจะสามารถนำมันขึ้นมาอ่านได้บ่อย ๆ

ตารางเวลา... จัดตารางนัดหมายให้ตัวเองได้ทำกิจกรรมทางด้านศิลปะหรือด้านจิตใจให้กับตัวเอง เช่น การปิกนิคในสวน จองทัวร์ไปพิพิธภัณฑ์ หรือเดินเล่นไปในที่ที่น่าสนใจ

สิ่งดี ๆ ในชีวิต... มีความสุขกับสิ่งดี ๆ ในชีวิต ออกไปทานอาหารดี ๆ ใต้แสงเทียน ฟังเพลงโปรดแชมเปญ ใส่เสื้อตัวโปรด ให้ของขวัญเป็นรางวัลชีวิต
เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ลองเรียนรู้สิ่งใหม่หรือหางานอดิเรกทำ เช่น เล่นโยคะ

อิสระ... รู้สึกเป็นอิสระจากการทำความผิดพลาด แทนที่จะถามตัวเองว่าทำไมถึงทำผิด ทำไมถึงทำมัน แค่ยอมรับกับตัวเองก็พอว่าคุณทำมันลงไปแล้ว มันเพียงพอแล้วถ้าคุณรู้ว่าคุณสามารถแก้ไขข้อผิดพลาดที่ทำลงไปได้

ให้อภัย... ให้อภัยตนเองในสิ่งที่ทำพลาดไปแล้ว เขียนจดหมายขออภัยในทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้ทำลงไป ปิดผนึกและเก็บมันไว้ในที่ลับ

วันต่อวัน... มีชีวิตอยู่แค่วันต่อวัน อย่าพยายามกังวลในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง หรือสิ่งที่อาจเกิดในอนาคต เพราะทุกอย่างต่างก็เกิดจากปัจจุบันทั้งสิ้น จำไว้ว่าอดีต และอนาคตเท่านั้นที่เกิดจากการกระทำในปัจจุบันของคุณ

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

10 คำถามสัมภาษณ์งานสุดโหด

10 คำถามสัมภาษณ์งานสุดโหด
ในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดอย่างนี้ งานการก็หายากเต็มที ฉะนั้นถ้าคุณได้ผ่านด่านเข้าไปถึงรอบสัมภาษณ์แล้ว ก็อย่าปล่อยโอกาสทองนี้ให้หลุดลอยไปเสียล่ะ ลองมาทำความคุ้นเคยกับ 10 คำถามที่เรารวบรวมมาให้คุณเตรียมตัวเตรียมใจไว้จะได้รับมือกับสถานการณ์นั้นๆได้ทัน มาดูกันเลยค่ะ

1.ไหนลองเล่าถึงตัวเองหน่อยสิ
คำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบว่าคุณชอบสีอะไร ชอบทานอะไรเป็นชีวิตจิตใจหรอกนะคะ แต่มันหมายถึงว่า “คุณเป็นคนลักษณะไหน เหมาะกับงานนี้เพียงไร” นับว่าเป็นโอกาสทองที่คุณควรจะพูดถึงบุคลิก ชีวิต และคุณสมบัติที่เกี่ยวกับงานเท่านั้น ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณจะไปสมัครงานในร้านหนังสือ แล้วคุณก็จบด้านสังคมศาสตร์ คุณอาจตอบคำถามนี้ว่า “ดิฉันชอบอ่านวรรณกรรม และความรู้ที่เรียนมา ก็ทำให้ดิฮฉันรู้จักเรื่องราวการเปลี่ยนแปลงในสังคมทั้งในยุคก่อนและปัจจุบันได้เป็นอย่างดี แม้ดิฉันจะเป็นหนอนหนังสืออยู่บ้างแต่ก็มีอัธยาศัยดีและชอบพบปะผู้คนค่ะ”

2.ทำไมคุณถึงอยากออกจากงานที่ทำอยู่
ข้อนี้ขอบอกว่าอย่าวิพากษ์วิจารณ์ที่ทำงานที่คุณทำอยู่ในเรื่องใดๆทั้งสิ้น อย่าพูดอะไรที่เป็นการทำร้ายตัวคุณเอง ฉะนั้นคุณควรพูดแต่งานที่ผ่านมาในแง่ดี และบอกว่าเหตุผลที่ต้องออกก็เพราะว่างานใหม่นี้เป็นอีกก้าวหนึ่ง ที่จะนำคุณไปสู่เป้าหมายในอนาคตในการเรียนรู้งานใหม่ๆ หรือคุณต้องการมุ่งไปสู่งานที่ท้าทายมากขึ้น

3.คุณคิดว่าคุณจะทำอะไรเพื่อบริษัทได้บ้าง (ในขณะที่คนอื่นเค้าทำไม่ได้)
มาถึงตอนนี้ คุณก็พรีเซนต์ตัวเองอย่างสร้างสรรค์ และให้คำตอบในแง่ของการทำประโยชน์ให้บริษัท ลูกค้า และพนักงานอื่นๆด้วยคำตอบที่ว่า “ดิฉันสามารถเสนอไอเดียใหม่ๆ มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาภาพพจน์ของบริษัท และเพิ่มศักยภาพของแผนกต้อนรับด้วยการใช้ความสามารถในการสื่อสารสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ค่ะ”

4.ข้อเสียที่เห็นได้ชัดของคุณคืออะไร
คำถามนี้มักเป็นการบอกให้คุณรู้นัยๆว่า คุณกำลังมีข้อบกพร่องเฉพาะที่จำเป็นต่องานนี้ แต่คุณก็สามารถแก้ต่างโดยให้เขาไม่มีข้อสงสัยในตัวอีกต่อไปว่า “แม้จะไม่มีประสบการณ์ทางด้านงานนี้โดยตรง แต่ดิฉันก็เป็นคนเรียนรู้เร็วค่ะ” หรือจะตอบคำถามนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเองว่า “ฉันทำงานบนโต๊ะรกๆไม่ค่อยได้ค่ะ และก็ชอบทำทุกอย่างให้สำเร็จไปด้วยความเพอร์เฟ็คเสมอ” เท่านี้ก็ฟังดูดีแล้ว

5.คุณมีปฏิกริยาอย่างไรต่อคำวิพากษ์วิจารณ์
วิธีการตอบที่ดีมักต้องเป็นการยกตัวอย่างให้เห็นภาพเสมอ การตอบแบบนามธรรมจะทำให้คุณดูไม่มีเหตุผลเพียงพอ รีบยกตัวอย่างในความผิดที่คุณเคยทำแล้วรีบเสริมว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ที่ผิดพลาดนั้นๆ เช่น คุณเคยถูกตำหนิจากเจ้านาย ที่เปลี่ยนประโยคคำพูดเธอในจดหมายโดยไม่ได้รับคำสั่ง และนั่นก็ทำให้คุณคิดได้ว่า
1.การใช้ความคิดริเริ่ม อาจไม่เหมาะในบางโอกาส
2.ถ้าหัวหน้ามอบหมายงานอะไรให้ หน้าที่ของเราคือต้องทำตามคำสั่ง
3.บางครั้งควรขอคำแนะนำก่อนทำอะไรเอง สุดท้ายสรุปด้วยประโยคกินใจว่า “ดิฉันคิดว่า การวิจารณ์เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนรู้ ที่จะช่วยพัฒนา ศักยภาพในการทำงานของดิฉัน”

6.คุณจะว่าอย่างไรถ้าต้องทำงานล่วงเวลา
อย่าพึ่งสลัดการทำงานนั้น เพราะคิดว่าเราจะต้องทำงานหนักเกินไป วิธีที่จะตอบคำถามนี้ให้ดี คือถามให้แน่ใจก่อนตอบ เช่น
1.ต้องทำงานล่วงเวลามากเท่าไร ถึงจะประสบความสำเร็จในตำแหน่งหน้าที่การงานนี้ได้
2.มีการจ่ายค่าล่วงเวลาหรือไม่ อย่างไรก็ควรตอบรับแบบไม่ผูกมัดไปก่อนว่า “ดิฉันพร้อมจะทำงานนอกเวลาค่ะ เพื่อให้งานสำเร็จลุ ล่วง” ซึ่งพอได้รับเลือกเข้าทำงานแล้ว คุณอาจต่อรองใหม่ได้เช่น อาจจะเสนอเอางานกลับไปทำที่บ้าน หรือมาทำงานเช้ากว่าปกติเป็นต้น แต่ถ้าคุณแน่ใจว่า ไม่พร้อมจะถวายชีวิตให้กับงาน คงต้องแสดงจุดยืนให้ชัดเจนไปเลยว่า “ดิฉันไม่เกี่ยงเรื่องทำงานล่วงเวลาหรอกค่ะ แต่ก็เชื่อมั่นว่า การเดินทางสายกลางนั้นเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อรักษาคุณภาพงานให้ดีได้อย่างคงเส้นคงวา”

7.คุณอยากไปถึงจุดไหนในอีก 10 ปีข้างหน้า
แน่นอนบริษัททุกบริษัทย่อมอยากได้คนที่มีความทะเยอทะยาน เพื่อไปสู่เป้าหมายในแนวเดียวกับบริษัท เพื่อที่จะพัฒนางานของบริษัทด้วยเช่นเดียวกัน หากคุณตอบว่าอยากทำงานไปวันๆ บริษัทก็คงไม่ยอมลงทุนเลือกคุณเข้ามาทำงานเป็นแน่ ในทางกลับกัน หากคุณต้องไปทำงานกับบริษัทที่มีความจำกัดโอกาสในการเจริญก้าวหน้า คุณก็ควรตอบด้วนการปรับคำตอบให้ฟังดูไม่เป็นการฟังดูเหนือหรือด้อยกว่าความสามารถหรือตัวงาน โดยพูดว่า “ดิฉันหวังว่างานนี้ จะเป็นการเปิดโอกาสให้ดิฉันได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จในสายอาชีพ” และอย่าพูดเด็ดขาดว่า วางแผนจะไปยุโรปในปีหน้า หรืออยากไปเป็นตลกอย่างโน้ต อุดมในเร็วๆวัน เพราะนั่นจะเป็นการแสดงถึงความไม่ตั้งใจจริงของคุณในหน้าที่การงานนี้

8.อะไรที่ทำให้คุณอยากทำงานที่นี่
คุณควรแสดงตัวว่าคุณศึกษาเรื่องราวของตัวบริษัทมาบ้าง อย่างน้อยก็รู้ว่าบริษัททำอะไร มีจุดเด่นตรงไหน (บุคลากรเด่น คุณภาพงานดี สาธารณประโยชน์เยี่ยม) และตลาดเป้าหมายของบริษัทคืออะไร แต่ถ้าคุณไม่มีข้อมูลอะไรเลย ก็ลองตอบด้วยประโยคนี้ว่า “ดิฉันมีความสนใจในตัวงาน (ไม่ว่าจะเป็นงานเกี่ยวกับอะไร) และรู้สึกว่าบริษัทได้เปิดโอกาสให้ดิฉันได้พัฒนาในสายงานนี้ค่ะ”

9.คุณคาดหวังเงินเดือนเท่าไหร่
ในการประกาศรับสมัครงานบางแห่ง จะระบุเงินเดือนไว้อย่างชัดเจน แต่ถ้าจนจะจบการสัมภาษณ์แล้ว ยังไม่มีการพูดคุยถึงเรื่องเงินเดือนเลย แสดงว่าคุณกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกต้อนให้จนมุม คุณต้องมั่นใจในความสามารถของตนเอง และลองสืบดูว่าคนอื่นๆที่มีความสามารถคล้ายกันได้เงินเดือนเท่าไหร่ในสายงานนี้ แล้วเสนอเป็นระดับช่วงเงินเดือนจะดีกว่าระบุเป็นตัวเลขตายตัว เพราะจะทำให้คุณสามารถต่อรองเงินเดือนจากความสามารถเฉพาะตัวของคุณได้ ระวัง อย่าต่อรองเงินเดือนด้วยวิธีที่ไร้ไหวพริบ หรือไม่ประนีประนอมโดยเด็ดขาด ถ้าข้อเสนอที่ได้รับตรงกับความต้องการของคุณให้รีบตกลงรับทันที แต่ถ้ายังไม่แน่ใจ ให้ตอบว่า “ตกลง” ในแง่ของหลักการ แล้วขอเวลากลับมาคิด 2-3วัน ถ้าคุณตกลงรับข้อเสนอเป็นจำนวนเงินแน่นอนแล้ว ไม่ควรเปลี่ยนข้อตกลงใหม่ เพราะจะเป็นการชี้ให้เห็นถึงความโลเลไม่มั่นคง หากต้องก้าวไปสู่อีกสายงานหนึ่งที่ต่างกันอย่างมากมาย คุณก็จำเป็นที่จะต้องยอมรับในเงินเดือนขั้นต่ำแล้วค่อยเริ่มไต่เต้าใหม่

10.คำถามสุดท้ายคุณมีอะไรจะถามไหม
ตัดคำตอบที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณเป็นคนไม่ฉลาดเอาเสียเลย ไม่ตั้งใจฟัง หรือไม่ก็ไม่ได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทมาเลย ฉะนั้นเพื่อให้เจ้านายเห็นว่าคุณเป็นคนใฝ่รู้ลองใช้คำถามนี้ดู
1.ตำแหน่งของดิฉันอยู่ในตำแหน่งใดในโครงสร้างของบริษัท
2.เวลาทำงานปกติคือเวลาใด
3.กรุณาบอกคร่าวๆถึงเป้าหมายของบริษัท
4.มีโอกาสเลื่อนขั้นในอีก 3ปีข้างหน้าหรือไม่

มาถึงขั้นนี้แล้วก็กลับไปเตรียมพร้อมรับกับการสัมภาษณ์งานตำแหน่งใหม่นี้ได้ จำไว้ว่ายิ่งถ้าคุณมีข้อมูล พร้อม อัธยาศัยดี มั่นใจ จริงใจและมีจินตนาการมากเท่าไร การสัมภาษณ์ของคุณก็จะยิ่งดูโดดเด่น และมีโอกาสเข้าวินมากขึ้นเท่านั้น
และที่สำคัญก็อย่าลืมว่าคำสัมภาษณ์ทั้งหมดก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นตัวของตัวคุณเองด้วยนะ ก็เพื่อที่คุณจะได้งานที่ถูกใจและเหมาะสมกับคุณที่สุดไงล่ะ

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ ห่านน้อย@เชียงใหม่
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2552

คุยโทรศัพท์มัดใจหนุ่มแต่ละราศี

(23 ธ.ค. - 20 ม.ค.)หนุ่มราศีมังกรใจของเขากำลังรอรับโทรศัพท์ ของคุณอยู่ทุกวินาที แต่พอคุณโทรไปจริงๆ เขาจะทำเป็นผู้ร้ายปากแข็ง ปากอย่างใจอย่าง พูดออกมาเหมือนคุณโทรไปหาเขาโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวเลย และจะไม่สะดวกในทันทีที่จะมารับสายโทรศัพท์จากคุณ คุณก็อย่าไปสนใจคำพูดของเขานักเลย ทนเอาหน่อยแล้วจะดีเองนะ ส่วนในใจของเขานะหรือ พองโตเพราะความดีใจจนแทบจะร้องกรี๊ดออกมาเลยล่ะ แล้วที่สำคัญคุณอย่าทำอะไรที่เหมือนเป็นการจับผิดเขาก็แล้วกัน เพราะเขาจะทนไม่ได้เลยสำหรับเรื่องนี้

(21 ม.ค. - 19 ก.พ.)หนุ่มราศีกุมภ์หนุ่มราศีกุมภ์เขาค่อน ข้างจะมีกฎกติกาในการรับโทรศัพท์อยู่บ้าง เวลาจะโทรไปหาเขาก็ควรจะเลือกช่วงเวลาเหมาะๆหน่อยนะ ไม่ใช่โทรไปเวลาดึกๆดื่นๆล่ะ ควรรักษามารยาทด้วย เพราะสำหรับเขาแล้วมารยาทเป็นสิ่งสำคัญเชียวล่ะ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะเสียคะแนนนิยมไปง่ายๆนะ

(20 ก.พ. - 20 มี.ค.)หนุ่มราศีมีนหนุ่มราศีมีนเขาจะตั้ง กติกาในการรับโทรศัพท์จากแฟนสาววันละ 1 ครั้ง และทุกวัน พอเขาได้ยินเสียงโทรศัพท์ เขาจะกระวีกระวาดรีบไปรับโทรศัพท์ทันที แต่จะต้องพูดแค่เสร็จธุระเท่านั้นนะ อย่าได้พูดยืดเยื้อเป็นอันขาด เพราะเขาจะอารมณ์เสียถ้าต้องคุยโทรศัพท์เกิน 5 นาที

(21 มี.ค. - 20 เม.ย.)หนุ่มราศีเมษความจริงแล้วหนุ่มราศีเมษ ก้ชอบการคุยโทรศัพท์พอสมควร แต่เขาไม่ชอบใช้จนสายแทบไหม้ เขาเป็นคนค่อนข้างใจร้อน ขืนให้ทนฟังอีกฝ่ายแจงคำพูดต่างๆนานาอยู่คงอัดอั้นใจตายพอดี เพราะฉะนั้นถ้ามีอะไรก็รีบๆพูดมาให้เสร็จๆ ถามตรงๆ ตอบตรงๆ พูดตรงๆ อย่ามาเล่นลิ้นอยู่ พ่อได้วางหูโครมใส่ปะไร

(21 เม.ย. - 21 พ.ค.)หนุ่มราศีพฤษภกระทิงหนุ่มรายนี้ชอบให้สาวๆ ออดอ้อนเอาใจทางโทรศัพท์เป็นที่สุด แต่เขาจะไม่ชอบให้พูดคำพื้นๆธรรมดา เช่น คิดถึงหรือรักคุณนะ ไม่ได้ผลหรอก จะต้องเป็นคำพูดที่หวือหวาหรือถึงใจกว่านั้น แต่ก็อย่าให้โอเวอร์จนเกินขนาดล่ะ เดี๋ยวเขาจะมองคุณในแง่ลบได้ เพราะถ้าเวลาเจอตัวจริงแล้วจะเป็นอันตราย กลายเป็นลูกแกะในสายตาหมาป่าได้
(22 พ.ค. - 21 มิ.ย.)หนุ่มราศีเมถุนพ่อหนุ่มคนนี้เขาชอบ เมาท์เป็นอันดับแรกเลย รักการโทรศัพท์เป็นชีวิตจิตใจและวันทั้งวันเขาก็จะง่วนอยู่กับการโทรศัพท์ ถ้าคุณไม่โทรมาเขาก็จะโทรไปเอง แต่คุณควรจำเอาไว้อย่างหนึ่งว่านายคนนี้เขาไม่ชอบการคาดคั้นเป็นที่สุด เขาจะอารมณ์เสียอย่างมากก็ได้ ถ้าคุณคอยจี้จุดคาดคั้นเอาความจริงจากเขา
(22 มิ.ย. - 23 ก.ค.)หนุ่มราศีกรกฎพ่อปูหนุ่มคนนี้ก็เป็นคน หนึ่งเหมือนกันที่ชอบการโทรศัพท์มากที่สุด ถึงขนาดว่ามีคนโทรผิด ถ้าเขาพอมีเวลาว่างเขาก็จะชวนคุยเป็นเรื่องเป็นราวเลยทีเดียว ถ้างานไม่รัดตัวจริง พ่อปูหนุ่มนี่จะตั้งรกรากอยู่ใกล้เครื่องโทรศัพท์ไปเลย ถ้าอยากโทรก็เลือกเวลาที่เขาอยู่บ้านแน่ๆ จะได้ให้เขาจ้อจนพอใจ
(24 ก.ค. - 23 ส.ค.)หนุ่มราศีสิงห์เจ้าป่าคนนี้เขาอยากรับ โทรศัพท์จากสาวจนตัวสั่น แต่ก็อดวางฟอร์มไม่ได้ แต่ในใจเขารุ่มร้อนอยู่นึกถึงแต่ว่าทำไมคุณถึงไม่โทรไปหาเขา แต่เวลามีคนเรียกให้เขามารับสายเขาจะวางฟอร์มเล่นตัวอีกเล็กน้อย ว่ากำลังยุ่งอยู่กับงานบ้างล่ะ พอกลบเกลื่อนความรู้สึกตัวเองเป็นพิธี เวลาคุยโทรศัพท์กับคุณเขาก็จะพูดอะไรที่มันตรงข้ามกับใจ เขาเป็นคนปากแข็งมาก คุณก็อย่าไปกังวลหรือแคร์กับส่วนนี้นักละ ถ้ามีเรื่องสำคัญจริงๆ คุยกันตัวต่อตัวดีกว่า
(24 ส.ค. - 23 ก.ย.)หนุ่มราศีกันย์นายคนนี้เป็นหนุ่ม โรแมนติกมากเหลือเกิน เขาอยากรับโทรศัพท์จากคุณก่อนนอนเพื่อจะได้เก็บเอาไปฝันหวานได้ในยามหลับ คุณคงปลื้มน่าดูเลย เมื่อรู้แล้วว่าควรจะโทรเวลาไหนก็อย่าลืมโทรไปให้ตรงช่วงเวลาล่ะ สร้างบรรยากาศได้โรแมนติกเชียวนะ แต่ควรจำไว้ว่าอย่าทำตัวเป็นพ่อแง่แม่งอนเด็ดขาด ถ้าไม่อยากให้เขาฝันร้ายเมื่อตื่นขึ้นมา เขาจะต้องขอเลิกกับคุณแน่นอน
(24 ก.ย. - 23 ต.ค.)หนุ่มราศีตุลย์ถ้าเขาอารมณ์ไม่ดี พ่อหนุ่มคนนี้จะสั่งให้คนที่บ้านบอกไปว่าเขาไม่อยู่หรือไม่ก็ยกหูโทรศัพท์ ออกเสียเลย ถ้าเป็นคุณโทรศัพท์ไปละก็ เขาก็จะพูดกับคุณอย่างสุภาพอ่อนโยนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งถ้าเขาถามว่าทำอะไรอยู่ ก็อย่าพูดแบบตลกฝืดไปว่า "โทรศัพท์อยู่"ล่ะ หนุ่มราศีตุลเป็นคนชอบความโก้หรู เท่ แม้แต่การพูดจา ก็ควรหามุขตลกที่มีรสนิยมโก้หรูตุนเก็บไว้เยอะๆหน่อย

(24 ต.ค. - 22 พ.ย.)หนุ่มราศีพิจิกหนุ่มแมงป่องคนนี้ชอบนึก คิดอะไรที่เข้าข้างตัวเองแบบน่าเกลียดเกินไปหน่อย พ่อคนนี้คิดว่าถ้าสาวๆคนใดโทรศัพท์ไปหาเขาเกิน 5 ครั้ง ก็แสดงว่าสาวเธอยอมมอบกายถวายชีวิตให้แล้ว ทั้งที่บางครั้งแค่โทรไปพูดคุยถามถึงสารทุกข์สุขดิบหรือนัดไปรับประทานข้าว บ้าง โดยที่สาวเจ้าไม่ได้มีเจตนาอะไรแอบแฝงเลย แต่เขาก็พยายามนับจำนวนครั้งเอาไว้ ถ้าคุณรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าโทรไปให้บ่อยนักนะ เพราะเขาตั้งหน้าตั้งตาคอยกระโจนใส่คุณอยู่แล้ว

(23 พ.ย. - 22 ธ.ค.)หนุ่มราศีธนูเวลาที่พ่อหนุ่มราศีธนูคน นี้จะย่างกรายเข้าไปรับโทรศัพท์แล้วยกหูขึ้นสวัสดีครับน่ะ สุดแสนจะยากเย็นแสนเข็ญ ตอนนั้นเขาเฝ้าถามตัวเองว่า ทำไมเราจะต้องลุกไปตามเสียงกริ่งของโทรศัพท์ทุกครั้งด้วยนะ แต่พอรับและได้ฟังเสียงหวานๆมาตามสายของคุณแล้ว ขี้คร้านเขาจะชวนคุณคุยจนแทบไม่อยากวางไปอีกนานเลยทีเดียว

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ Deedeejang
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

คลายเครียด‏

เรื่องที่ 1
หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปหาชายแก่ที่นั่งอยู่ที่ระเบียงหน้าบ้าน หญิงสาว - 'ขอโทษนะคะคุณลุงคือดิฉันเผอิญสังเกตเห็นว่าคุณลุงดูมีความสุขจัง ไม่ทราบว่ามีเคล็ดลับสำหรับชีวิตที่ยืนยาวและแสนสุขมั๊ยคะ' ชายแก่ - 'ผมสูบุหรี่วันละ 3 ซองดื่มเบียร์วันละลัง กินอาหารมันๆ และไม่เคยไม่เคยออกกำลังกายเลย' หญิงสาว - 'ว๊าว!!! ไม่น่าเชื่อเลยค่ะ คุณลุงอายุเท่าไหร่คะเนี่ย?' ชายแก่ - ' 26....' ------------ --------- --------- --------- --------- --------- ----


> เรื่องที่2
มีลายแทงแผ่นหนึ่งได้ไปตกบ้านของสมหมาย สมหมายจึงพาเพื่อนๆไปตามลายแทง พอไปถึงก็เห็นเต่ายักษ์ตัวหนึ่งที่กระดองเขียนว่า 'จงพลิกกูขึ้นแล้วจะเจอสมบัติ ' ทุกคนก็ช่วยกันพลิกแต่กว่าจะพลิกได้ก็กินเวลาไป 2 ชม. เมื่อพลิกแล้วก็เจอ......อักษรเขียนว่า 'จงคว่ำกูลงไว้หลอกคนต่อไป' ------------ --------- --------- --------- --------- --------- ----


> เรื่องที่ 3
ลึกสุดลึกในป่าแห่งหนึ่ง เจ้าเต่าน้อยกำลังปีนต้นไม้หลายชั่วโมงผ่านไป มันก็ปีนถึงยอดแล้วมันก็กระโดดขึ้นไปในอากาศตีขาหน้าไปมา แล้วก็ตกแอ็กลงบนพื้น... หลังจากหายมึน มันก็ปีนต้นไม้ขึ้นไปอย่างเชื่องช้าอีก กระโดดแล้วก็ตกแอ็กลงมาอีกตามเคย แต่เต่าน้อยก็ไม่ละความพยายามปีนแล้วปีนอีกก็ตกแล้วตกอีก... นก 2-3 ตัวเกาะอยู่บนกิ่งไม้ไกล้ๆ มองเต่าน้อยด้วยความสงสารเต่า และแล้วนกตัวเมียก็พูดกับนกตัวผู้ว่า: 'ที่รักจ๊ะ...ชั้นว่ามันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องบอกลูกเต่าว่า ...ลูกเป็นบุตรบุญธรรมของเรา' ------------ --------- --------- --------- --------- --------- ----


เรื่องที่ 4
ในงานแต่งงานของบ่าวสาวคู่หนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของฝ่ายเจ้าสาว ได้ถูกเชิญให้ขึ้นไปอวยพรบ่าวสาวท่านอวยพรว่า... 'ท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมรู้จักเจ้าสาวเป็นอย่างดี เพราะเธอเป็นเลขาของผมเอง ทำงานร่วมกันมาก็หลายปี จากการที่ได้ทำงานใกล้ชิดกัน ทำให้ผมได้เห็นนิสัยใจคอของเธอ ผมได้เห็นอะไรต่อมิอะไรดีๆในตัวเธอ และผมกล้ายืนยันกับทุกๆคนในที่นี้ว่า 'จิ๋มเธอน่ารักมาก' จบคำอวยพร เล่นเอาแขกเฮกันลั่นกันทั้งงาน ปรัชญานี้สอนให้รู้ว่า หากคุณมีลูกสาว อย่าพยายาม ตั้งชื่อว่าจิ๋ม ------------ --------- --------- --------- --------- --------- ----


เรื่องที่ 5
ในที่สุดผมก็ทำลงไปแล้ว! โอย! ผมทำลงไปได้ไงเนี่ย ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผมจะทำเรื่องอย่างนี้ลงไป สมชายคร่ำครวญอยู่ในใจอย่างรู้สึกผิดต่อการกระทำที่ตัวเองพึ่งทำลงไป แต่ เอ๊ะ! เสียงหนึ่งก้องมาจากในหัวเขา 'อย่ากังวลมากไปเลย สมชาย นายน่ะไม่ใช่คนแรกหรอกที่แอบมีอะไรกับคนไข้ของตัวเอง' เสียงนี้ทำให้วูบหนึ่งเขาเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่แล้วก็เหมือนสายฟ้าฟาดใส่กลางกบาล อีกเสียงจากส่วนลึกของหัวใจตวาดใส่เขา 'ไอ้สมชาย...เอ็งเป็นสัตวแพทย์นะโว้ย…' ------------ --------- --------- --------- --------- --------- ----

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

อานิสงส์การให้ทาน‏(สาธุๆๆ)‏


มาสร้างบุญบารมีกันเถอะ
1. นั่งสมาธิ อย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือเดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ --- เพื่อสติปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้าเพื่อจิตใจที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธีแก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพกายและจิตแข็งแรง เจ้ากรรมนายเวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล
2. สวดมนต์ ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ --- เพื่อให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมาเทมา แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว แนะนำพระคาถาพาหุงมหากา , พระคาถาชินบัญชร , พระคาถายอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวดเสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง
3. ถวายยารักษาโรค ให้วัด , ออกเงินค่ารักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ - -- ก่อให้เกิดสุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หายจะทุเลา สุขภาพกายจิตแข็งแรง อายุยืนทั้งภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะไม่ขาดแคลนการรักษา
4. ทำบุญตักบาตร ทุกเช้า
อานิสงส์ --- ได้ช่วยเหลือศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลนอาหาร ตายไปไม่หิวโหย อยู่ในภพที่ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรมะแจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ --- เพราะธรรมทานชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรมจึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมีอย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ชีวิตจะเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน
6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ --- ผ่อนปรนหนี้กรรมให้บางเบา ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็นสุข ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป
7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์ หรือบวชพระอย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ --- ได้ตอบแทนคุณพ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัยไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล
8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ --- ผิวพรรณผ่องใส สุขภาพแข็งแรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปักรักษา ได้เกิดมามีร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็จะมีราศีผุดผ่อง
9. ปล่อยปลา ที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อยสัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ --- ช่วยต่ออายุ ขจัดอุปสรรคในชีวิต ชดใช้หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำมาค้าขึ้น หน้าที่การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิตที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็นอิสระ
10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาคหนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอนหนังสือ
อานิสงส์ --- ทำให้มีสติปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญาสมบูรณ์พร้อม
11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ --- ทำให้เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตกทุกข์ได้ยาก เกิดมาชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน
12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ --- ไม่ต้องไปเกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญรุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ถ่าโถม ภัยอันตรายไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้าปกปักรักษ อานิสงส์
10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์
1. เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย
2. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น
3. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์เหี้ยมโหดเครียดแค้นในใจลงได้
4. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย
5. มีอายุมั่นขวัญยืน
6. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง
7. ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล
8. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน
9. สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ
10. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ
อานิสงส์การจัดสร้างพระพุทธรูปหรือสิ่งพิมพ์อันเกี่ยวกับพระธรรมคำสอนเป็นกุศลดังนี้
1. อกุศลกรรมในอดีตชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพภยันตรายสลาย ปวงภัยไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จ
3. เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมื่อได้รับส่วนบุญไปแล้วก็จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. เหล่ายักษ์ผีรากษส งูพิษเสือร้าย ไม่อาจเป็นภัยอยู่ในที่ใดก็แคล้วคลาดจากภัย
5. จิตใจสงบ ราศีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานเป็นมงคล รุ่งเรืองก้าวหน้าผู้คนนับถือ
6. มั่นคงในคุณธรรม ความอุดมสมบูรณ์ปรากฏ ( เกินความคาดฝัน) ครอบครัวสุขสันต์ วาสนายั่งยืน
7. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
8. คนโง่สิ้นเขลา คนเจ็บหายได้ คนป่วยหายดี ความทุกข์หายเข็ญ สตรีจะได้เกิดเป็นชายเพื่อบวช
9. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
10. สิ่งที่สร้างจะบังเกิดเป็นกุศลจิตแก่ทุกคนที่ได้พบเห็นเป็นเนื้อนาบุญอย่างเอนกทุกชาติของผู้สร้างที่เกิดจะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้าปัญญาในธรรมแก่กล้าสามารถได้อภิญญาหก สำเร็จโพธิญาณ
อานิสงส์การบวชพระบวชชีพรามณ์( บวชชั่วคราวเพื่อสร้างบุญ , อุทิศให้พ่อแม่เจ้ากรรมนายเวร )
1. หน้าที่การงานจะเจริญรุ่งเรือง ได้ลาภ ยศ สรรเสริญตามปรารถนา
2. เจ้ากรรมนายเวรจะอโหสิกรรม หนี้กรรมในอดีตจะคลี่คลาย
3. สุขภาพแข็งแรง สติปัญญาแจ่มใส ปัญหาชีวิตคลี่คลาย
4. เป็นปัจจัยสู่พระนิพพานในภพต่อๆไป
5. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง โพยภัยอันตรายผ่อนหนักเป็นเบา
6. จิตใจสงบ ปล่อยวางได้ง่าย มองเห็นสัจธรรมแห่งชีวิต
7. เป็นที่รักที่เมตตามหานิยมของมวลมนุษย์มวลสัตว์และเหล่าเทวดา
8. ทำมาค้าขึ้น ไม่อับจน การเงินไม่ขาดสายไม่ขาดมือ
9. โรคภัยของตนเอง ของพ่อแม่ และของคนใกล้ชิดจะเบาบางและรักษาหาย
10. ตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้เต็มที่สำหรับผู้ที่บวชไม่ได้เพราะติดภาระกิจต่างๆ ก็สามารถได้รับอานิสงส์เหล่านี้ได้ด้วยการสร้างคนให้ได้บวชสนับสนุนส่งเสริมอาสาการ ให้คนได้บวช
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบุญที่ยกขึ้นมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงอานิสงส์ที่ท่านพึงจะได้รับจงเร่งทำบุญเสียแต่วันนี้ เพราะเมื่อท่านล่วงลับท่านไม่สามารถสร้างบุญได้อีกจนกว่าจะได้เกิด หากท่านไม่มีบุญมาหนุนนำแรงกรรมอาจดึงให้ท่านไปสู่ภพเดรัจฉาน ภพเปรต ภพสัตว์นรกที่ไม่อาจสร้างบุญสร้างกุศลได้ต่อให้ญาติโยมทำบุญอุทิศให้ก็อาจไม่ได้รับบุญดังนั้นท่านจงพึ่งตนเองด้วยการสร้างสมบุญบารมีซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ท่านจะนำติดตัวไปได้ทุกภพทุกชาติเสียแต่วันนี้ด้วยเทอญ
*** ส่งต่อก็ได้บุญ การให้ธรรมเป็นทานชนะการให้ทั้งปวง
ปล. สุดท้ายนี้ การทำบุญทั้งหลายทั้งปวง หากทำด้วยใจที่บริสุทธิ์ ย่อมไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เพราะใจเราก็เป็นสุขแล้ว

รายชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านดีที่สุด ในเมืองไทย..เผื่อวันหนึ่งจะมีประโยชน์‏

รายชื่อแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านดีที่สุด ในเมืองไทย..เผื่อวันหนึ่งจะมีประโยชน์

ประสาททางยา 1. ศ.น.พ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ (รามา) 2. ศ.น.พ.นิพนธ์ พวงวรินทร์ (ศิริราช) 3. ศ.น.พ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (จุฬา) 4. น.พ.ยรรยงค์ ทองเจริญ (กรุงเทพฯ)

ทางเดินอาหาร 1. ศ.น.พ.สุขา คุระทอง (รามา) 2. ร.ศ.น.พ.พินิจ กุลลวณิชย์ (จุฬา) 3. ศ.น.พ.สั จจพันธ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา (จุฬา) 4. น.พ. เกรียงไกร อัครวงศ์ (สมิติเวช)

เด็ก 1. น.พ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา (รามา) 2. พ.ญ.ชนิกา ตู้จินดา (ศิริราช) 3. พ.ญ.จาดศรี ประจวบเหมาะ (กรุงเทพฯ) 4. น.พ.วิโรจน์ สืบหลิววงศ์ (จุฬา)

ผ่าตัดทั่วไป 1. น.พ.เพรา นิวาตวงศ์ ( พร้อมมิตร) 2. น.พ.เอาชัย กาญจนพิทักษ์ (รามา) 3. น.พ.กฤษณ์ จาฏมระ (จุฬา) 4. น.พ.ณรงค์ เลิศอักรมณี (ศิริราช)

สูติกรรม 1. ศ.น.พ.สมหมาย ถุงสุวรรณ์ (ศิริราช) 2. น.พ.ประมวล วีรุตเสน (จุฬา) 3. น.พ.ไพจิ ตร เจริญขวัญ (ราชวิถี) 4. น.พ.กำแหง จาตุรจินดา (รามา)

ผิวหนัง 1. พ.ญ.ปรียา กุลลวณิชย์ (แจ่มจันทร์) 2. พ.อ.น.พ.กฤษฎา ดวงอุไร (พระมงกุฏ) 3. พ.ญ.เพ็ญวดี ทิมพัฒนพงษ์ (รามา) 4. พ.ญ. พิมลวรรณ กฤติกรังสรรค์ (สถาบันโรคผิวหนัง)

หู คอ จมูก 1. น.พ.ประพจน์ คล่องสู้ศึก(วิชัยยุทธ) 2. น.พ.ศัลยเวช เลขะณุก (สหการแพทย์) 3. น.พ.คณิต มันตาภรณ์ (รามา) 4. น.พ.ประธาน สูตะบุตร (กรุงเทพฯ) 5. พ.ญ.สุจิตรา ประสานสุข (ศิริราช)
ตา 1. น.พ.ธนัญชัย อติแพทย์ (รามา) 2. น.พ.สมอรรถ พัฒนกำจร (มงกุฎ) 3. น.พ.ประจักษ์ ประจักชเวช (จุฬา) 4. พ.ญ.โสมสราญ วัฒนโชติ (กรุงเทพฯ)

หัวใจและหลอดเลือด 1. น.พ.ศุภชัย ไชธีรพันธุ์ (ศิริราช) 2. พ.ญ.พึ่งใจ งามอุโฆษ (จุฬา) 3. น.พ.นิธิ มหานน (ศิริราช)

ไต 1. น.พ.วิศิษฐ์ สิตปรีชา (จุฬา) 2. น.พ.สง่า นิลวรางกุล (ศิริราช) 3. พ.ญ.อุ ษณา ลุวีระ (พระมงกุฎ) 4. น.พ.สุ ชาติ อินทรประสิทธิ์ (รามา)

ปอด 1. น.พ.ยศวี สุขมาลจันทร์ (กรุงเทพฯ) 2. น.พ.อรรถ นานา (ศิริราช) 3. น.พ.ประกิจ วาทีสาถกิจ (รามา) 4. น.พ.ประสิทธิ์ กีรติกานน (สมิติเวช)

กระดูก 1. น.พ.เจริญ โชติกวณิชย์ (ศิริราช) 2. น.พ.ไพศาล จันทรพิทักษ์ (ภูมิพล) 3. น.พ.ชายธวัช งามอุโฆษ (จุฬา) 4. พลตรีสุปรียา โมคขเวช (พระมงกุฏ)

-----------------------------------------------------------

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ น่าจะเป็นประโยชน์ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

Marketing‏

> >เหอเหอ... ถ้าเจอเมลล์นี้ก่อน ต้องได้ A การตลาดแหงๆ คริก ๆๆๆ
> >> >อาจารย์กำลังอธิบายหลักการตลาดให้นักศึกษาฟัง

> >> > > >> >1. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า
> >> >'ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!'
> >> >- นี่คือ Direct Marketing

> >> > > >> >2. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้กับพรรคพวกของคุณและพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง
> >> >เพื่อนของคุณคนหนึ่งเดินเข้าไปหาเธอ ชี้มาที่คุณแล้วพูดว่า 'เขารวยมาก
> >> >แต่งงานกับเขาเถอะ!'
> >> >- นี่คือการโฆษณา

> >> > > >> >3. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและขอเบอร์โทร
> >> >วันรุ่งขึ้นคุณจึงโทรไปหาและพูดว่า 'สวัสดีครับ ผมรวยมาก แต่งงานกันผมเถอะ'
> >> >- นี่คือ Telemarketing

> >> > > >> >4. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง
> >> >คุณยืนขึ้นจัดเนคไทให้เรียบร้อย เดินเข้าไปหาเธอ เลี้ยงเครื่องดื่มเธอ
> >> >คุณเปิดประตู(รถยนต์) ให้เธอ ถือกระเป๋าให้เธอจนเธอนั่งเรียบร้อย
> >> >ช่วยขับรถให้เธอ แล้วพูดว่า 'ผมรวย คุณจะแต่งงานกับผมไหม?'
> >> >- นี่คือพีอาร์

> >> > > >> >5. คุณอยู่ที่งานปาร์ตี้และพบสาวสวยสุดเซ็กซี่คนหนึ่ง เธอเดินเข้ามาหาคุณ
> >> >และพูดว่า 'คุณรวยมาก! แต่งงานกับฉันไหม?'
> >> >- นี่คือ Brand Recognition

> >> > > >> >6. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า
> >> >'ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!' เธอตบหน้าคุณอย่างแรง
> >> >- นี่คือ Customer Feedback

> >> > > >> >7. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและพูดว่า
> >> >'ผมรวยมาก แต่งงานกับผมเถอะ!' แล้วเธอก็แนะนำให้คุณรู้จักกับสามีของเธอ -
> >> >นี่คือช่องว่างระหว่าง demand และ supply

> >> > > >> >8. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะได้พูดอะไร
> >> >ก็มีผู้ชายอีกคนเดินเข้ามาและพูดกับเธอว่า 'ผมรวยคุณจะแต่งงานกับผมไหม?'
> >> >แล้วเธอก็ไปกับผู้ชายคนนั้น
> >> >- นี่คือการแข่งขันแย่งชิงส่วนแบ่งการตลาด

> >> > > >> >9. คุณพบสาวสวยสุดเซ็กซี่ในงานปาร์ตี้ คุณเข้าไปหาเธอและก่อนที่จะได้พูดว่า
> >> >'ผมรวย แต่งงานกับผมเถอะ!' ภรรยาของคุณก็มาถึง
> >> >- นี่คือข้อจำกัดในการเข้าสู่ตลาดใหม่

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

Beautiful Lesson !!!!!!!!




The girl in the picture is Katie Kirkpatrick, she is 21 . Next to her, her fianc้, Nick, 23. The picture was taken shortly before their wedding ceremony, held on January 11, 2005 in the US . Katie has terminal cancer and spend hours a day receiving medication. In the picture, Nick is waiting for her on one of the many sessions of chemo to end.


ผู้หญิงในรูป เธอชื่อ เคที่ เคิร์กแพททริค. เธออายุ 21 , ข้างๆเธอคือ นิค อายุ 23 ปี คู่หมั้นของเธอ รูปนี้ถูกถ่ายขึ้นไม่นานนก่อนวั นแต่งงานของพวกเขา, ซึ่งถูกจัดขึ้นในเดือน มกราคม 2005 ณ สหรัฐอเมริกา เคที่ เป็นโรคมะเร็ง และใช้เวลาวันละ หลายๆชม. เพื่อรับการรักษา เยียวยา ในรูป นิคกำลังเฝ้ารอ คู่หมั้นของเค้า รับการรักษาด้วยคีโม




In spite of all the pain, organ failures, and morphine shots, Katie is going along with her wedding and took care of every detail. The dress had to be adjusted a few times due to her constant weight loss


ถึงแม้จะเจ็บปวด, อวัยวะภายในเริ่มล้มเหลว, และ มอร์ฟีนอีกหลายเข็ม, เคที่ ทนเพื่อที่จะเข้าพิธีแต่งงานของเธอ และดูแลจัดการ ทุกๆรายละเอียด, ชุดแต่งงานของเธอ ต้องถูกปรับใหม่ทุกครั้ง ตามน้ำหนักของเธอที่ลดลงเรื่อยๆ..




An unusual accessory at the party was the oxygen tube that Katie used throughout the ceremony and reception as well. The other couple in the picture are Nick's parents. Excited to see their son marrying his high school sweetheart.


พิธีที่ดูจะแปลกซึ่งมีถังอ๊อกซิเจนที่ต้องใช้ ตลอดงาน, อีกคู่ข้างๆคือ พ่อแม่ของนิคที่ตื้นตัน ที่นิคกำลังจะเข้า พิธีวิวาห์กับคู่รักวัยเรียนของเขา





Katie, in her wheelchair with the oxygen tube , listening to a song from her husband and friends เคที่อยู่บนรถเข็นพร้อมกับถังอ๊อกซิเจน, นั่งฟังเพลงที่สามีเธอและเพื่อนๆร้องให้เธอ






At the reception, katie had to take a few rests. The pain did not allow her to stand for long periods

ที่ โต๊ะ, เคที่ต้องพักผ่อนบ้าง เพราะความเจ็บปวดทางร่างกายที่เธอมี ไม่สามารถทำให้เธอยืนนานๆได้..





Katie died five days after her wedding day. Watching a woman so ill and weak getting married and with a smile on her face makes us think..... Happiness is reachable, no matter how long it lasts .

เคที่เสียชีวิต 5 วันหลังจากวันแต่งงาน, การที่เราได้เห็นผู้หญิงที่ป่วยหนักใกล้จะตาย ได้กำลังจะแต่งงาน พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอ.. ทำให้เราฉุกคิดว่า..



ไม่ว่ามันจะยาวนานเท่าไหร่...

Life is short ชีวิตช่างสั้นนัก


Break the rules ไม่จำเป็นต้องตามกฏเกณฑ์


forgive quickly ให้อภัย

love truly รักให้จริงจัง


laugh constantly หัวเราะให้มากที่สุด


And never stop smiling และอย่าหยุดยิ้ม


no matter how strange life is ไม่ว่าชีวิตจะดูแปลกเพียงใด



Life is not always the party we expected to be
ชีวิตอาจจะไม่ได้สนุกสนานอย่างที่เราคาดคิดไว้เสมอ
but as long as we are here, we should smile and be grateful.
แต่ตราบที่เรายังมีลมหายใจ... เราควรจะยิ้ม.. และขอบคุณสำหรับชีวิต ที่ยังมีอยู่..
ขอขอบคุณบทความ และข้อคิดดีดี ที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

โรคในรถ คุณเป็นไหม น่าจะมีประโยชน์‏

> โรคในรถ คุณเป็นไหม

> > 1. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
> > พนักงานบริษัทเอกชน วัย 37 ปี ป่วยเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ จากการอั้นปัสสาวะเป็นเวลานานในขณะขับรถ เพราะต้องเผชิญกับปัญหารถติดระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำงานทุกวัน และบางพื้นที่ไม่มีปั้มน้ำมันให้เข้า
> > อาการ : " พอเจอห้องน้ำจะรีบเข้าแต่ก็รู้สึกเหมือนปัสสาวะไม่ออก รู้สึกขัดๆ และปวดมากเหมือนปัสสาวะไม่สุด มีอาการแบบนี้เป็นปีนะคะ เพราะใช้เวลาอยู่ในรถประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน ” ปัจจัยเสริมก่อโรค “ บางทีทำงานเพลินๆ กำลังคิดอะไรอยู่ก็ยังไม่เข้าห้องน้ำทันที ก็ยอมอั้นไว้จนเป็นนิสัยที่ไม่ดีติดตัว อั้นในรถไม่พอยังมาอั้นในที่ทำงานอีก "
> > การรักษา : " คุณหมอให้ยามากิน และให้ดื่มน้ำมากๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลาทำงาน เพื่อให้เข้าห้องน้ำบ่อยขึ้น ช่วงแรกต้องไปพบหมอเป็นประจำจนกว่าอาการจะดีขึ้น "
> > Tip : การดูแลตัวเอง
> > เปลี่ยนพฤติกรรม ไม่อั้นปัสสาวะ เข้าห้องน้ำทันทีที่ปวดปัสสาวะ
> > ถ้ามีอาการเจ็บหน่วงๆ ต้องดื่มน้ำเยอะๆ เพื่อเข้าห้องน้ำล้างปัสสาวะที่อักเสบออกมา
> > ย้ายที่พักมาอยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้นเพื่อเลี่ยงรถติด

> > 2. ผังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือ
> > ยังประสบปัญหาเป็นผังผืดทับเส้นประสาทที่ข้อมือซ้าย ซึ่งเกิดจากการขับรถเป็นเวลานานๆ
> > อาการ : " ตอนที่ขับรถนานๆ มือจะอยู่ที่พวงมาลัยนานมาก เลือดคงไหลเวียนไม่ดีเหมือนเส้นเลือดตีบ แทนที่จะปล่อยลงข้างลำตัว ก็ทำตรงกันข้ามโดยการยกมือขึ้นขับรถ นั่งอยู่ท่าเดียวนานๆ ทำให้มีอาการชาไปครึ่งตัวขณะรถติด " ถามว่าอันตรายไหม ถ้าต้องขับรถขณะมีอาการก็อันตรายมาก
> > ปัจจัยเสริมก่อโรค : " งานที่ทำประจำต้องนั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์พิมพ์งานตลอดเวลา และนั่งท่าเดียวนานๆ เลยส่งผลให้ปวดมาก คนที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มีอาการแบบนี้เยอะ ตอนที่คุยกับคุณหมอบอกว่ามักจะเกิดกับคนที่อายุเกิน 40 ทั้งที่อายุยังไม่ถึงดิฉันก็เป็นแล้ว อาจเพราะใช้ร่างกายหนัก ใช้คอมพิวเตอร์มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน "
> > การรักษา : " ทำท่ากายภาพบำบัดเช้า กลางวัน เย็น และก่อนนอน เพื่อให้เส้นเลือดสูบฉีด และระบบไหลเวียนในร่างกายเราดีขึ้น "
> > Tip : การดูแลตัวเอง
> > ฝึกโยคะเป็นประจำ
> > ถ้าจะหยิบของที่เบาะหลังรถไม่ควรเอี้ยวตัว เพราะอาจทำให้ผิดท่าและเส้นเอ็นพลิกได้ควรเปลี่ยนมาเปิดประตูรถด้านหลังแล้วหยิบของ
> > การหยิบของจากที่ต่ำไม่ควรก้มตัวยก แต่ควรนั่งลงแล้วค่อยๆ ยกขึ้น
> > ช่วงที่อากาศเย็นจะทำให้มีอาการปวดมากกว่าปกติ ต้องดูแลให้ร่างกายอบอุ่น อาจทายาหม่อง หรือปาล์มเพื่อเพิ่มความอบอุ่น

> > 3. หมอนรองกระดูกเสื่อม
> > เจ้าของกิจการ วัย 60 ปี ป่วยเป็นโรคหมอนรองกระดูกเสื่อม หลังจากขับรถส่งของในระยะทางไกลเป็นเวลานานหลายปี
> > อาการ : " แรกๆ ก็ปวดหลังนิดหน่อย และรู้สึกเหมือนร้าวลงขาทั้ง 2 ข้าง ข้างซ้ายมากกว่าขวา ยืนนานๆ ขาจะชา ถ้ายังฝืนยืนอยู่อีก ก็จะมีอาการชาขึ้นๆ จนกระทั่งรู้สึกเหมือนขาลอยได้ จำไม่ได้ว่ามีอาการเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เริ่มมีอาการตั้งแต่ขับรถส่งของ และนอกจากนี้ยังมีอาการ เอวคด คดไปด้านขวา เวลาเดินเห็นชัดเลย จะเดี้ยงไปข้างหนึ่ง จนเพื่อนๆ สังเกตเห็น "
> > ปัจจัยเสริมก่อโรค : " ตอนเริ่มกิจการดิฉันทำงานทุกอย่างเองหมด ทั้งขับรถและขนของ ยกของหนักมากไม่ประมาณตน เอี้ยวตัวผิดจังหวะก็เลยทำให้ยิ่งมีอาการปวดมาก และเคยตกจากที่สูงจนกระดูกยุบ " > > การรักษา : " ตัดสินใจไปทำไคโรแพกติก หลังเสร็จจากการจัดกระดูกก็ค่อยๆ ดีขึ้น มีโอกาสก็จะไปตอนนี้ทำเกือบ 20 ครั้งแล้ว ด้วยความที่เรายังมีพฤติกรรมเหมือนเดิม คือขับรถ เลยยังไม่หายขาด ต้องดูแลตัวเองไปเรื่อยๆ "
> > Tip : การดูแลตัวเอง
> > เล่นเทนนิสเป็นประจำ แต่ไม่ควรเล่นหนักเกินไป ควรออกแรงเบาๆ ( ไม่ควรหยุดออกกำลังกายเพราะจะทำให้เส้นเอ็นยึด)
> > ยืนโน้มไปข้างหน้าเล็กนิด ถ้าต้องเดินนานๆ ควรหยุดพักก้มตัวลงเป็นการยืดเส้น ถ้าเดินตามห้างสรรพสินค้าอาจเกาะรถเข็นทิ้งน้ำหนักไปที่รถเพื่อให้เดินได้นานโดยไม่มีอาการชา
> > ทำกายภาพทุกวัน วันละ 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น ด้วยท่าดังนี้
> > ท่านอนหงาย ชันเข่าทั้งสองข้างขึ้น แล้วยกตัวขึ้นเล็กน้อยเกร็งหน้าท้องไว้นับ 1-10 ทำประมาณ 10 ครั้ง
> > ท่านอนนอนคว่ำ ศอกทั้งสองข้างตั้งฉากกับพื้น ปลายเท้าจิกทำเป็นมุมฉาก ยกตัวขึ้นแล้วแขม่วท้องเกร็งไว้นับ 1-10 ทำประมาณ 10 ครั้ง

> > 4. กล้ามเนื้อคออักเสบ
> > นักศึกษาปริญญาโท วัย 30 ปี มีอาการกล้ามเนื้อบริเวณคออักเสบ เนื่องจากขับรถในท่าเดิมนานๆ ติดต่อกันหลายวัน
> > อาการ : " วันแรกๆ จะมีอาการปวดบ่าทั้งสองข้างก่อน เพราะตอนที่ขับ มือก็จะจับพวงมาลัยแน่นทั้งสองข้าง ตอนรถติดจะเครียดมากจนไม่ยอมปล่อยมือ เกร็งไว้ตลอดเวลา ถ้ารถขยับก็จะรีบขยับตาม เผอิญช่วงนั้นมีสอบทุกวัน ต้องขับรถไปมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นย่านที่รถติดมาก เข้าวันที่สี่ตื่นขึ้นมารู้สึกปวดคอมากปวดร้าวไปถึงบ่า แขน และมือชา คอหันไม่ค่อยได้เลยทำให้ขับรถไม่ได้ "
> > ปัจจัยเสริมก่อโรค : " ก่อนหน้านี้ไปหัดตีกอล์ฟกับคุณพ่อ ด้วยความที่ยังออกท่าไม่ค่อยเป็นเลยทำให้หันคอผิดท่า ตอนนั้นก็รู้สึกเจ็บเล็กน้อยแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร พอมาขับรถก็เลยยิ่งปวดมาก "
> > การรักษา : " คุณหมอให้กินยาคลายกล้ามเนื้อ และใส่เฝือกอ่อนที่คอชั่วคราวเพื่อให้มีการเคลื่อนไหวคอน้อยที่สุด ประมาณ 3-4 วันอาการก็ค่อยๆ ดีขึ้น "
> > Tip : การดูแลตัวเอง
> > นอนพักผ่อนให้เพียงพอ
> > ขณะรถติดควรบริหารคอด้วยการหันซ้ายขวาสลับกับก้มหน้าเงยหน้า
> > ไม่ควรเอี้ยวคอกะทันหันระหว่างขับรถ เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุหันคอผิดท่า

> > 5. หลับใน และตาเมื่อยล้า
> > วิศวกร วัย 36 ปี มักมีอาการหลับในจนเกิดอุบัติเหตุ และตาเมื่อยล้า เมื่อขับรถในเวลากลางวันที่มีแสงแดดจ้าเป็นเวลานานๆ
> > อาการ : " ผมขับรถเพื่อติดต่องานมาประมาณ 1 ปี ในสัปดาห์หนึ่งขับรถ 4 วัน ทั้งกลางวันและกลางคืน และบางวันก็ต้องขับรถไปต่างจังหวัดระยะทางไกล ช่วงกลางวันที่ต้องเจอแดดจ้าๆ มักมีอาการตาอ่อนล้า และแสบตา ทำให้มองไม่ถนัดเวลาที่ขับรถ และมีอาการหลับในตอนกลางคืน เมื่อก่อนไม่รู้ว่าหลับในเป็นอย่างไร ตอนนี้รู้แล้วและอันตรายมาก ตอนแรกจะหาวถี่ สมองเริ่มมึน ไร้สติ ไม่มีสมาธิในการขับรถ และเรื่องบางเรื่องที่เกิดขึ้นในกิจวัตรจะเข้ามาในหัวโดยไม่รู้สึกตัว "
> > ปัจจัยเสริมก่อโรค : " แต่ละครั้ง วันที่เดินทางผมไม่ มักนอนน้อยเป็นประจำ "
> > การรักษา : " ช่วงที่มีอาการแสบตา ตาเมื่อยล้ามากๆ ผมต้องไปหาหมอเพื่อรักษา หมอก็ให้หยอดน้ำตาเทียมก็ช่วยได้มาก เพราะเราใช้สายตาเยอะ ส่วนอาการหลับใน ผมเคยลองมาหลายวิธีแล้ว ทั้งตีขาตัวเอง และเปิดกระจกขับรถ แต่ก็ไม่ได้ผล ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นอีกคิดว่าคงไม่คุ้มกัน ผมว่าเราต้องดูแลตัวเอง " > > Tip : การดูแลตัวเอง
> > ถ้าเริ่มง่วงให้รีบจอดรถในปั้มนอนทันที โดยสังเกตตัวเองว่าเริ่มหาวถี่แล้วหรือยัง ถ้าถี่มากๆ ต้องหยุดอย่าฝืน
> > เวลาที่ขับรถทางไกล ถ้ามีเพื่อนร่วมทางที่ขับรถเป็น ควรสลับกันขับ ไม่ควรขับคนเดียวตลอดทาง

> > 6. ระบบย่อยและระบบขับถ่ายผิดปกติ
> > พนักงานขับรถแท็กซี่ วัย 38 ปี มีอาการของระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่ายผิดปกติ นับจากขับแท็กซี่ได้เพียง 3 เดือน เนื่องจากต้องขับรถทุกวันตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม > > อาการ : " ที่มีปัญหามากๆ เลยคือเรื่องระบบย่อยอาหาร เพราะกินไม่ค่อยเป็นเวลา ต้องกินเผื่อไว้เยอะๆ เพื่อไม่ให้หิวบ่อย เพราะถ้ามีผู้โดยสารก็ต้องเอาเงินก่อน จะมาห่วงการกินไม่ได้ ทุกครั้งที่กินเสร็จก็ขับรถเลย อยู่แต่ในรถมากกว่าครึ่งวัน อาหารเลยไม่ค่อยย่อย ทำแบบนี้นานเข้ากระเพาะอาหารก็อักเสบ เพราะกินไม่เป็นเวลา นอกจากนี้ระบบขับถ่ายก็ยังไม่ดีด้วย ท้องผูกบ่อยๆ ไม่ค่อยได้เข้าห้องน้ำ บางครั้งปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำระหว่างขับรถก็เข้าไม่ได้ เพราะต้องรีบไปส่งผู้โดยสาร "
> > ปัจจัยเสริมก่อโรค : " ผมกินเนื้อสัตว์มาก เพราะคิดว่าจะทำให้หนักท้อง ไม่หิวบ่อย และด้วยความชอบส่วนตัวด้วย เลยทำให้อาหารไม่ย่อย และไม่ค่อยได้ออกกำลังกายด้วย "
> > Tip : การดูแลตัวเอง
> > กินอาหารประเภทผักเยอะๆ ถ้าหิวควรเลือกอาหารเบาๆ เช่น ก๋วยเตี๋ยวลุยสวน นอกจากจะทำให้ระบบย่อย และระบบขับถ่ายดีแล้วยังทำให้กลิ่นตัวไม่เหม็นอีกด้วย
> > ออกกำลังกายตอนเช้าก่อนออกไปทำงานทุกวัน เช่น กายบริหารขา เข่า ช่วยลดอาการปวดขากับเข่าระหว่างขับรถไปในตัว

ขอขอบคุณบทความดีดีที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ทำไงให้รักกับงานไปกันได้ด้วยดี

คนเราพอถึงช่วงอายุนึงที่ต้องมีความรักก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตาม ธรรมชาติ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อเรียนจบและมีคุณสมบัติเพียบพร้อมพอที่จะทำงานได้ ทุกคนก็ต้องมีอาชีพการงานเป็นของตัวเองเช่นกัน ซึ่งเรื่องงานกับความรักนี่บางคนสามารถสร้างสมดุลให้ทั้งสองอย่างไปด้วยกัน ได้ดี ทว่าบางคน เอ๊ะ ทำไมกลับไม่สามารถ ทำให้ทั้งสองอย่างนี้ไปกันได้น้างั้นสัปดาห์นี้ เรามาหาวิธีทำให้ “งานกับความรัก” เคียงคู่กันไปด้วยดีเถอะเนอะ เพราะใครๆย่อมอยากให้ชีวิตของตัวออกมาในรูปการณ์นี้ทั้งนั้น เอ้า ดังนั้น ความรักกับการงานจะเดินไปด้วยกันได้อย่าพอเหมาะพอเจาะ ก็ต่อเมื่อ…

1. คุณสนุกกับงาน ขณะเดียวกัน คู่รักก็มีเวลาให้กันด้วยแบบนี้ รับรองงานวิ่งฉิว ส่วนความรักก็ไปโลด คิดดูเดะ ตอนไปหางานทำ คุณก็รู้ว่าตัวเองชอบและเหมาะกับงานด้านไหน ดังนั้น พอเรียนจบปุ๊บก็ได้งานดั่งใจปั๊บ (อาจเป็นจังหวะที่บริษัทที่คุณอยากทำงานด้วยกำลังมองหาพนักงานที่มี คุณสมบัติอย่างคุณพอดี) แล้วพอมีความรักขึ้นมา ก็ปรากฏว่าคนรักของคุณไม่บ้างานเกินไป จึงพอเหลือเวลามาเอาใจใส่คุณด้วย โอ๊ย ถ้าลงตัวแบบนี้ คุณก็ลักกี้ทั้งเรื่องงานกับความรักน่ะเซ่

2. ถือคติ ปัญหาเรื่องงานเก็บไว้แก้ที่ที่ทำงานไม่เอาเก็บกลับบ้านมาเป็นอารมณ์ ดังนั้น คู่รักจึงจ๋าจ๊ะใส่กันได้เวลาอยู่บ้าน ไม่ใช่ทำหน้าหงิกหน้างอใส่กันจนทำให้บ้านไม่น่าอยู่ แล้วจะลักกี้ (โชคดี) ในความรักได้ไง อย่าลืมนะเวลาคุณอยู่กะคนรักควรพูดกันเพราะๆ มีคะ, ขา, ครับ, ฮะ แล้วเชื่อดิ่ งานกับความรักก็จะไปด้วยกันได้ดีเองแหละ

3. ถ้าคู่รักทำงานในสายงานใกล้เคียงกัน จึงสามารถปรึกษาหารือกันได้ ส่วนเรื่องรัก หากพอใจอะไร หรือผิดใจกันเมื่อไหร่? ก็พูดคุยกันได้อีก เอ้า ในเมื่องานการยังปรึกษากันได้ แล้วเรื่องความรักทำไมจะคุยกันไม่ได้จริงมะ หากเป็นซะงี้ คู่นี้ก็เข้าข่ายโชคดีอีกแย้ว

4. ตั้งใจไว้ตั้งแต่เริ่มทำงานเลยว่า จะแบ่งเวลาให้กับงานและความรักพอๆ กัน ฉะนั้น ถ้ากำลังทำงาน ก็จะไม่ให้เวลางานมาเบียดเบียนเวลาที่จะได้พบปะพูดคุยหรือไปเที่ยวกับคนรัก แต่คุณมีสติที่จะยึดมั่นกับทั้งสองสิ่งนี้ ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ว้าว! เป็นงี้ก็แจ๋วไปเลย

5.ห้ามนำเรื่องความรักมาหัวเสียในที่ทำงานแม้ความรักจะไม่ราบรื่นไปซะทุกวัน แต่คุณไม่มีวันที่จะเอาปัญหาในเรื่องรัก ติดมาหัวเสียกับใครในที่ทำงานเด็ดขาด เรียกว่ารู้จักแบ่งเรื่องงานกับความรักออกจากกันอย่างชัดเจนไง

6. มุ่งมั่นทำงานและทุ่มเทให้งานพอๆ กับทุ่มเทและเอาใจใส่คนรักมีนะที่คู่รักบางคู่ ต่างรู้และเข้าใจว่างานนั้นมีความหมายต่อคนที่เค้ารักมากแค่ไหน จึงไม่จู้จี้จุกจิกหรือสร้างความรำคาญใจให้อีกฝ่าย ทั้งคู่จึงทำงานได้สะดวก เมื่อทั้งงานและรักไปด้วยกันได้ ก็แฮปปี้เอนดิ้ง แหงๆ ไชโย

ขอขอบคุณข้อมูลจากโดย คนสมถะ
ขอขอบคุณบทความดีที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

"ตุ๊กตา ให้น้องสาว" เรื่องราวความรัก

เรื่องราว ความรัก ..............

ในวันสุดท้ายก่อนวันคริสต์มาส ฉันรีบไปยังซุปเปอร์มาร์เก็ตเพื่อซื้อของขวัญที่ฉันไม่ได้ซื้อไว้แต่เนิ่น ๆเมื่อฉันเห็นผู้คนทั้งหมดที่นั่น ฉันก็เริ่มบ่นกับตัวเองฉันคงต้องเสียเวลาเป็นชาติที่นี่แน่ ๆ ฉันควรไปที่อื่นดีกว่าคริสต์มาสนี่ทำให้รู้สึกแออัด และน่ารำคาญขึ้นทุก ๆ ปีจริง ๆ
สิ่งที่ฉันอยากจะทำคือเอนตัวลงนอนแล้วก็หลับไปและตื่นขึ้นมาเมื่อเวลานี้ผ่านพ้นไปแล้วจริง ๆแต่ถึงยังไงฉันก็ยังไปที่แผนกของเล่น และฉันก็เริ่มหัวเสียเกี่ยวกับราคาของมันและแปลกใจว่า เด็ก ๆ เนี่ยะเล่นของเล่นที่แพงขนาดนี้เชียวหรือขณะที่กำลังเดินดูของอยู่ในแผนกของเล่นนั้นฉันสังเกตเห็นเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง อายุประมาณ 5 ขวบกำลังอุ้มตุ๊กตาไว้แนบกับอก เขาค่อย ๆ ลูบผมของตุ๊กตานั้น และมองดูอย่างเศร้าสร้อยฉันสงสัยว่าเด็กผู้ชายคนนี้จะเอาตุ๊กตาไปให้ใครกัน
เด็กผู้ชายคนนั้นหันไปหาหญิงชราที่อยู่ข้าง ๆ" คุณยายแน่ใจเหรอครับว่าผมมีเงินไม่พอ? "หญิงชราตอบว่า " หลานก็รู้นี่ ว่าหลานมีเงินไม่พอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้หรอก"
หลังจากนั้น หญิงชราก็บอกให้เขารออยู่ตรงนั้นประมาณ 5 นาทีระหว่างที่เธอจะไปเดินดูรอบ ๆ แล้วเธอก็จากไปอย่างรวดเร็วเด็กชายยังคงอุ้มตุ๊กตาอยู่ในมือ ในที่สุดฉันก็เริ่มเดินเข้าไปหาเขา
ฉันถามเค้าว่าเค้าจะเอาตุ๊กตาตัวนั้นไปให้ใคร" มันเป็นตุ๊กตาที่น้องสาวของผมชอบที่สุดฮะและเธอก็อยากจะได้มันมากเป็นของขวัญวันคริสต์มาสเธอมั่นใจมากว่าซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตาตัวนี้แก่เธอ "
ฉันบอกเค้าว่า ซานตาคลอสจะให้ตุ๊กตานี้แก่น้องสาวของเขาแน่ ๆและก็ไม่ต้องกังวลหรอก แต่เขาตอบฉันด้วยท่าทางเศร้าสลดว่า" ไม่หรอกฮะ ซานตาคลอสไม่สามารถเอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอในที่ ๆ เธออยู่ตอนนี้ได้ผมจะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปให้แม่ แม่จะได้เอาตุ๊กตานี้ไปให้เธอเมื่อแม่ไปที่นั่น "
ดวงตาของเขาเศร้ามากขณะที่เขาพูดต่อไป" น้องสาวของผมไปอยู่บนสวรรค์พ่อบอกว่าแม่ก็จะไปเหมือนกันในเร็ว ๆ นี้ผมก็เลยคิดว่าแม่น่าจะเอามันไปให้น้องสาวของผมได้ "หัวใจของฉันเกือบจะหยุดเต้น เด็กชายเงยหน้ามองฉันแล้วพูดว่า" ผมบอกพ่อให้บอกแม่ว่าอย่าพึงไปให้รอผมจนกว่าผมจะกลับจากซุปเปอร์มาร์เก็ตฮะ "
แล้วเขาก็หยิบรูปที่น่ารักมากของเขาซึ่งกำลังหัวเราะให้ฉันดูแล้วก็บอกว่า " ผมอยากให้แม่เอารูปนี้ไปด้วยฮะเธอจะได้ไม่ลืมผมผมรักแม่ฮะ และผมก็หวังว่าเธอจะไม่ต้องจากผมไปแต่พ่อบอกว่าเธอต้องไปอยู่กับน้องสาวของผม "แล้วเขาก็จ้องมองตุ๊กตาอีกครั้งอย่าอาลัยฉันรีบคว้ากระเป๋าตังออกมาอย่างรวดเร็ว หยิบธนบัตรออกมา 2-3ใบ แล้วพูดว่าทำไมเราไม่ลองตรวจดูอีกที เผื่อว่าเราจะมีเงินพอ" ตกลงฮะ " เขาพูด " ผมหวังว่าผมจะมีเงินพอนะฮะ "
ฉันแอบใส่เงินของฉันลงในกระเป๋าตังของเขาโดยไม่ให้เขาเห็น(ไม่รู้ทำไง)แล้วเขาก็เริ่มนับมัน เด็กชายพูด " ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานเงินให้ผมฮะ "เขามองฉัน แล้วพูดเสริมว่า " ผมอธิษฐานกับพระเจ้าก่อนนอนเมื่อวานฮะว่าขอให้ผมมีเงินพอที่จะซื้อตุ๊กตาตัวนี้เพื่อแม่จะได้เอาไปให้น้องสาวของผมฮะแล้วพระองค์ก็ได้ยิน ความจริงผมอยากได้เงินที่จะซื้อกุหลาบสีขาวให้แม่ด้วยฮะแต่ผมไม่กล้าขอมากเกินไป แต่พระองค์ก็ให้เงินผมมากพอที่จะซื้อทั้งตุ๊กตาและกุหลาบแม่ของผมชอบกุหลาบขาวฮะ "
ฉันเดินออกมากับรถเข็นของฉันฉันไม่สามารถเอาภาพของเด็กชายคนนั้นออกจากจิตใจฉันได้
หลังจากนั้นฉันก็จำข่าวที่อยู่ในหนังสือพิมพ์เมื่อ 2 วันก่อนได้มันบอกว่าคนขับรถบรรทุกที่เมาเหล้าคนหนึ่งขับรถชนรถอีกคันหนึ่งที่มีหญิงสาวคนหนึ่งกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ในรถ เด็กหญิงคนนั้นเสียชีวิตทันทีแต่แม่ของเธออยู่ในขั้นบาดเจ็บสาหัสครอบครัวของพวกเขาต้องตัดสินใจว่าจะดึงปลั๊กเครื่องช่วยหายใจเพราะถึงยังไงเธอก็ไม่สามารถดีขึ้นไปกว่าขั้นโคม่าได้ครอบครัวนี้จะเป็นของเด็กชายคนนั้นรึเปล่านะ
2 วันหลังจากได้พบกับเด็กชายคนนั้นฉันอ่านเจอในหนังสือพิมพ์ว่า หญิงสาวคนนั้นได้เสียชีวิตแล้วฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไว้ได้ที่จะไปซื้อกุหลาบช่อหนึ่งแล้วไปที่ซึ่งร่างของหญิงคนนั้นได้ถูกเปิดให้คนได้ดู และอธิษฐานเป็นครั้งสุดท้ายก่อนฝังเธออยู่ในนั้นในโลงศพของเธอ ในมือมีดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งกับรูปถ่ายของเด็กชายคนนั้นและมีตุ๊กตาวางอยู่บนหน้าอก
ฉันออกไปข้างนอกทั้งน้ำตา รู้สึกว่าชีวิตของฉันได้เปลี่ยนไปตลอดกาลความรักที่เด็กผู้ชายคนนี้มีให้แม่ และน้องสาวของเขานั้นจะยังคงอยู่ยืนยาวสุดแก่การจินตนาการ แต่เพียงแค่เศษเสี้ยววินาทีเท่านั้นคนดื่มเหล้าคนหนึ่งก็ได้พรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากเขา

ขอขอบคุณบทความดีที่ได้รับจากเมล์ DuaN_FORTH
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

มาดู!!ลักษณะหนุ่มชอบหลอกฟัน

แบบนี้นะอย่า
เพิ่งดีใจ ถ้าจู่ๆมีใครมาบอกรัก เพราะชาย (หรือหญิงบางราย) ก็ชอบหลอกให้ตายใจ แต่จริงๆแล้วไม่ได้รักจริงจัง แค่หวังหลอก “FUN” ไปวันๆเท่านั้น พฤติกรรมเลวๆอย่างนี้ ทำให้สาวๆที่ดีๆเสียรู้ เสียตัว และเสียใจ เมาส์แตกจึงหยิบวิธีดู "โหงวเฮ้ง" คุณพวกนักล่าผู้หญิงว่า มันมีเทคนิค ลีลายังไงเวลาไปตีสนิทเหยื่อ สาวๆที่ดีๆจะได้มีทางหนีทีไล่ ให้พ้นภัยคนพรรค์นี้ไงล่ะ

1. ถ้าปิ๊งกันที่ผับ เขา จะอาสาเลี้ยงเครื่องดื่ม แน่นอนต้องแบบทำให้คุณเมาได้ โดยมอบให้เรื่อยๆแบบไม่อั้น เสนอตัวเป็นเจ้าบุญทุ่มว่างั้นเถอะ หรือถ้าเจอกันที่ร้านอาหารก็จะเสนอตัวเลี้ยงข้าวมื้อที่ราคาถึงไหนถึงกัน เพื่อสร้างความประทับใจชนิดไม่รู้ลืม หากสาวคนนั้นพาเพื่อนมาด้วยก็จะเทกแคร์เพื่อนๆ ของเธออย่างเต็มที่ด้วย จะได้ให้เพื่อนเธอช่วยลุ้นเขาไง และถ้าเพื่อนเธอรู้สึกว่าเป็นส่วนเกินขึ้น มาก็ยิ่งดี เพราะเขาจะมีโอกาสได้ชวนเธอไปไหน ต่อไหนต่อโดยใช้คำล่อว่า คุณเคยไปที่นี่หรือที่นั่นมาหรือยัง? ผับหรือบาร์ที่นั่นสวยนะ ใครไปก็ติดใจทั้งนั้น เดี๋ยวผมพาไปนะ อะไรประมาณนี้

2. หากแลกเบอร์โทรศัพท์กัน เขา จะให้แค่เบอร์มือถือ ไม่ให้เบอร์ที่บ้านหรือที่ทำงานแน่ ในเมื่อเขาไม่ได้อยากลึกซึ้งกะสาวเนื้อหนังมังสาน่าแอ้มรายนี้จริงๆ แล้วเรื่องไรจะต้องให้เธอรู้จักกำพืด เอ้ย รู้ว่าบ้านอยู่ไหนหรือทำงานที่ไหนไปทำไม เดี๋ยวหล่อนได้ตามไปรังควานเอาหรอก

3. จะรีบบอกสาวไว้แต่เนิ่นๆ ว่า พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า ไม่งั้นก็แหกตาว่า ไปไหนก็ได้ ที่ล้วนแต่ เป็นกรณีรีบด่วนที่ใช้เป็นข้ออ้างในการเผ่นหนีไปแต่เช้ามืด และเหยื่อไม่มีทางติดต่อได้อีก

4. แสดงความสนใจ หรือเห็นด้วยในสิ่งที่เธอพูดแบบเว่อๆ เพราะกะให้ประทับใจกันลูกเดียว คงกลัวว่าเธอจะไม่รู้ว่าประจบงั้นแหละ

5. หาโอกาสแตะเนื้อต้องตัวตลอดเวลา แบบ ได้คืบจะเอาศอก มือซุกซนจะตาย เช่น ทำทีขำในเรื่องโจ๊กที่เธอเล่า แล้วเอามือหยาบๆตบที่ต้นขาหรือจับไม้จับมือหล่อน และขำคล้ายเมายาอะไรสักอย่าง

6. ใจจริงเขาไม่อยากถามชื่อหรือนามสกุลของเหยื่อ ให้เสียเวลาหรอก แต่ถามเพราะมารยาทเท่านั้น แค่จำชื่อเล่นได้ ไม่สับสนกับเหยื่อในอดีตก็ดีแค่ไหนแล้ว

7. ชอบสร้างภาพว่าเกลียดผู้ชายที่เอาเปรียบผู้หญิง เพื่อให้เธอตายใจว่า แหม เขาช่างเป็นสุภาพบุรุษ แต่ที่แท้เป็นซาตานในคราบนักบุญสิไม่ว่า

8. บางรายมาเหนือเมฆ แกล้ง ทำให้สาวไม่แน่ใจว่าเขาเป็นเกย์หรือเปล่า? เธอจะได้รู้สึกเข้ากับเขาได้สนิทใจขึ้น และถ้าฟันเสร็จจะหายจ้อยไปเลย ก็จะอยู่หาอะไรในเมื่อภารกิจสำเร็จแล้วนี่
ดังนั้น
ถ้าสาวๆรายไหนเจอเข้ากะตัวแบบนี้ อย่าไปยุ่งกะคุณพวก@เหล่านี้ดีกว่า และควรหาทางหลีกเลี่ยงไม่ให้เขามาตอแย ด้วยการ....

1. ถ้าพวกนี้มาทำทีพูดคุยอะไรด้วย ก็อย่าไปหลงกลพูดตอบกลับ อย่าไปต่อความยาวสาวความยืด เฉยซะดีกว่า เดี๋ยวมันก็รู้เองแหละว่าไม่ได้สนใจ

2. ถ้าถูกชวนไปไหนต่อไหนจงอย่าไป และอย่าลืมพูดดังๆด้วยว่า ชั้นกำลังรอให้แฟนมารับอยู่พอดี เล่นแรงๆให้มันหน้าแหกไปเลย ดูสิยังจะหน้าด้านอยากตอแยอีกไหม? พวกนี้เราควรเวทนาเขา แต่อย่าลืมฉีดสเปรย์ดับกลิ่นไล่เสนียดตอนมันเดินคอตกกลับไปด้วยล่ะ

ขอบคุณข้อความ kik2you เป็นข้อความที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ถ้าคุณอกหัก คุณอย่าทำแบบนี้นะ

เมื่อวาน........ ต้องทำหน้าที่ช่วยชีวิตคนกินยาฆ่าตัวตาย
มันเป็นเรื่องหน้าเศร้ามาก สำหรับคนที่ทุ่มเทให้ความรักจนลืมตัวเอง . . . . . . .
สำหรับทุกๆ คนที่มีความรัก ขอนะ...
ขอให้เผื่อใจไว้สำหรับรักตัวเองบ้าง เธอเป็นเพียงแค่คนหนึ่งคน ที่ผ่านเดินผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้หัวใจเรามีความสุข ทำให้หัวใจเราเป็นสีชมพูก็จริง
แต่เมื่อเธอเดินจากไป เพราะหมดกรรมที่ทำร่วมกับเราแล้ว และต้องไปชดใช้กรรมกับคนอื่นต่อ ก่อนหน้าที่เธอจะเดินเข้ามา เราก็อยู่ของเรามาได้ไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไม เมื่อเธอเดินจากไป ทำไมต้องทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเรา จากไปพร้อมกับเธอคนนั้นด้วยล่ะ รู้มั๊ย...
ตอนที่พี่ต้องโทรศัพท์ไปแจ้งข่าวให้ทางบ้านเราทราบน่ะ พ่อแม่ของเราเสียใจแค่ไหน ที่ลูกชายของท่านคิดสั้นแบบนี้ ไม่ห่วงพ่อแม่บ้างเหรอ
เราไม่อยู่ แล้วท่านจะอยู่อย่างไร ท่านเฝ้ารัก เฝ้าทะนุถนอมเรามาตั้งแต่เราเกิด จนโต
วันนี้สมองตึงเครียดมาก ทำงานไม่รู้เรื่องเลย เพราะมัวแต่ห่วงน้องที่ทำงาน
อยากระบายออกมา แต่รู้สึกว่าจะสื่อสารไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วล่ะ
เอาเป็นว่า ใครที่กำลังมีความรัก
ขอนะ... ขอให้รักอย่างมีสติ ถ้าต้องผิดหวังขึ้นมา
ก็ขอให้คิดซะว่า เรามาพบกันเพื่อใช้หนี้กรมต่อกัน
เวลานี้เราหมดกรรมต่อกันแล้ว
เราและเธอก็ต้องแยกย้ายกันไปชดใช้กรรมให้กับผู้อื่นต่อไป

เหนื่อยจริงๆ

ขอขอบคุณบทความดีที่ได้รับจากเมล์
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

ด้วยรักและฟันผุ

ความรักคืออะไร และ แบบไหนเล่าจึงจะเรียกได้ว่ารัก
หากมีใครสักคนนึกสนุก อยากทดสอบเชาว์ ของเราด้วยคำถามที่ว่า“ความรักคืออะไร และ “แบบไหนเล่าจึงจะเรียกได้ว่ารัก”ด้วยพิษสงของคำถามที่ดูคล้ายๆว่าจะง่ายนักหนาในข้อนี้อาจทำให้เราตีลังกาปวดขมอง ไปสิบแปดตลบกว่าๆเพราะคิดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าจะหานิยามใดมาจำกัดขอบเขตของคำว่า “รัก”ได้อย่างเหมาะสมลงตัว จนฟังแล้วต้องเอาฝ่ามือตบโต๊ะดังปัง!พร้อมกับพูดออกมาดังๆว่า “นี่แหละใช่เลย!!!”ความพยายามที่จะหาคำตอบในครั้งนี้เสมือนหนึ่งเราเป็นตากล้องมือสมัครเล่นที่มีแต่กล้องถ่ายรูปอันกระจ้อยร่อยแต่อาจหาญ อยากที่จะบันทึกภาพความสวยงามของมหาสมุทรอันยิ่งใหญ่ ด้วยการกดชัตเตอร์เพียงครั้งเดียว !หากตอบไปว่า “รักคือการเสียสละ”น้องๆนุ่งๆ หลายๆชีวิต คงบ่นกันขรม และติเพื่อหมิ่นว่ามันเชยไปหน่อยสำหรับพ.ศ.นี้งั้นลองใหม่!!รักคือความเข้าใจ อืม...ม มันก็จริงอยู่นะแต่ดูยังไงๆ มันก็แค่เหล้าใหม่ในขวดแตก สำหรับใครบางคนอยู่ดีเอาเป็นว่า เรามาฟังเรื่องของใครบางคนสมัยที่เขายังเป็นเด็กน้อยตัวเท่าลูกแมวกันดีกว่าใครคนนั้นมีชื่อว่า ต้อมแล้วเขาก็มีน้องชายที่แสบแบบกินกันไม่ลงชื่อ ตั้ม
เรื่องของเรื่องก็มีอยู่ว่าย้อนไปประมาณสิบกว่าปีที่แล้วในวันที่ ต้อมและตั้ม สองเสือหัวแข็งพึ่งลืมตาขึ้นมาสร้างความปั่นป่วนให้โลกใบนี้ ได้ไม่นานนักทุกๆเช้าเย็นเพื่อนบ้านแถวนั้น มักจะได้ยินเสียงเจี้ยวจ้าวของเด็กตัวเล็กๆสองคนอยู่เสมอต้อมเล่นสนุกกับน้อง ตั้มเล่นสนุกับพี่บางครั้งก็ทะเลาะกัน งอนกันจนแทบไม่มองหน้าแต่อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ก็วิ่งไล่จับกันเหมือนเคยคุณแม่ของต้อม และตั้ม หมั่นปลูกฝังความรักให้ลูกทั้งสองอยู่ตลอดเวลา“เราสองคนเป็นพี่น้องกัน ต้องรักกันให้มากๆนะจ๊ะ”“คร๊าบ...บ” สองหนุ่มจอมป่วนรับปาก ก่อนวิ่งแจ้นออกไปเล่นไล่จับกันต่อเด็กตัวน้อยๆทุกคนมักมีสิ่งที่ชื่นชอบเหมือนๆกันนั่นคือ ลูกกวาดขนมหวานที่อุดมไปด้วยน้ำตาล และสีผสมอาหาร ตั้มผู้เป็นน้องชอบลูกกวาดเป็นชีวิตจิตใจเขาติดลูกกวาดงอมแงม ราวกับติดยาเสพติด จำเป็นต้องให้กระพุ้งแก้มและลิ้นรับรสทำงานอยู่ตลอดเวลาคุณแม่จอมเฮี้ยบ คอยกำชับเป็นหนักหนาว่าอย่ากินลูกกวาด “แม่ห้ามไม่ให้ลูกกินลูกกวาดอีกแล้วนะ ลูกกวาดพวกเนี้ยกินบ่อยๆฟันก็จะฟันผุพอฟันผุแล้วก็ต้องไปหาหมอฟัน ไปให้หมอเขาเอาคีมใหญ่ๆมาถอนฟันให้เจ็บๆ ลูกกลัวมั้ย ถ้ากลัวก็อย่ากิน ต้อมต้องคอยห้ามน้อง อย่าให้น้องกินอีกนะลูก!”คุณแม่พร่ำบอกแทบทุกวันค่ำเช้า แต่เด็กก็คือเด็ก !แม้ว่าสองหนูน้อยจะกลัวหมอฟันมากเพียงใด แต่ก็ยังกินลูกกวาดเรื่อยมาจนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่จับได้ว่าสองพี่น้องเอาเงินค่าขนม ไปซื้อลูกกวาดกินจนหมดเกลี้ยงเธอเหลืออด และเอือมระอากับพฤติกรรมของลูกชาย จึงเรียกทั้งสองเข้ามาแล้วจัดการลงโทษต้อมเพียงคนเดียว ในฐานะพี่ชายที่ไม่ยอมห้ามปรามน้องซ้ำยังร่วมกระทำผิดไปอีกคนด้วยความที่แม่เกิดบันดาลโทสะ เธอจึงตีอย่างไม่ยั้ง ไม้เรียวอันเล็กๆ เมื่อกระทบกับขาอ่อนๆ มันช่างเจ็บเหลือใจต้อมร้องลั่นเพราะความเจ็บปวด โดยที่ตั้มผู้เป็นน้องยืนน้ำตาซึมอยู่ใกล้ๆ“อยากฟันผุนักใช่มั้ย แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่ากินลูกกวาดพวกนี้ เตือนเท่าไรก็ไม่ฟัง ต้อม ! เราเป็นพี่ทำไมไม่ห้ามน้อง กลับไปกินด้วยกันอีก ห๊า !” ต้อมผู้เป็นพี่สะอึกสะอื้นตอบกลับมา “หนูไม่ชอบกินหรอก แต่ที่กินเพราะ ไม่อยากให้น้องไปหาหมอฟันคนเดียว”ความรักของพี่น้อง อาจทำให้ฟันผุไปบ้างตามประสา แต่มันก็คุ้มค่าเหลือเกินและนี่ก็คือปูมหลังอันหวานละไมของต้อมกับตั้ม ที่เราๆมีโอกาสได้ฟังจากคำบอกเล่าของแม่ใจดีผู้สวมบทแม่ใจร้าย เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว“รักคืออะไร?”เราคงต้องกลับมาถามตัวเองอีกครั้งอย่างตั้งใจถ้าจะตอบคำถามในข้อนี้ให้ง่ายและชัดเจนที่สุดเห็นทีจะต้องตอบแบบกำปั้นทุบดิน “รักก็คือรัก”ความรักไม่มีวันเป็นอย่างอื่นนอกจากเป็นตัวของมันเองแม้ไม่เคยมีใคร ได้ยลโฉมของความรักว่าสวยหล่อขนาดไหนแต่ก็เชื่อว่าเราทุกคนสามารถรู้สึกถึงมันได้หากเรายังมีหัวใจ! เหลือพอรู้สึกในวันที่เราเจ็บ แล้วมีใครบางคนนั่งอยู่ข้างๆแม้เขาคนนั้นไม่ได้เอ่ยปากแต่เราก็รับรู้ได้ว่าเขาเจ็บไปพร้อมๆกับเรารู้สึกในวันที่เราตื้นตัน แล้วมีใครสักคนนั่งฉีกยิ้มอยู่ไกลๆแม้เขาคนนั้นไม่ได้เอ่ยปากแต่เรารับรู้ได้ว่าเขาสุขล้นยิ่งกว่าตัวเราเสียอีกสำหรับใครๆหลายๆคน นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่า... ความรักแล้วคุณล่ะ “ความรักคืออะไร?”--

ขอขอบคุณบทความดีที่ได้รับจากเมล์ นางมารร้าย
เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป