วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

คบเพื่อน อย่างไรดี








fwdmail

1. เพื่อนบ้าเพื่อนบอ
เพื่อนพวกนี้พร้อมจะแหกกฏเกณฑ์ อาจดูว่าเขาไม่
ค่อยแคร์อะไร และชอบที่จะเสี่ยงทำอะไรบ้า ๆ บอ ๆ
ตลอดเวลา แต่จำไว้เหอะ
งานเลี้ยงทุกงานจะสนุกได้ก็เพราะมีเจ้าพวกนี้แล่ะ
อีกอย่างเขาจะพา ให้เรามีชีวิตที่หวือหวาขึ้น
วันดีคืนดีก็จะมาหาเราตอนเที่ยงคืน
แล้วพาเราไปเที่ยว ไปก๊งเหล้า
ไป..... พวกนี้มาเพื่อเพิ่มสีสรรของชีวิตให้เรา

เวลาคุณประสบความสำเร็จ ...."โอ้ เจ๋งไปเลย เพื่อน
หยั่งงี้ต้องไปฉลองซะแล้ว"
เวลาคุณประสบความผิดหวัง..."แม่ง...
อย่างนี้ต้องออกไปหาอะไรดื่ม"

2. เพื่อนเงียบ เพื่อนพวกนนี้จะไม่คอยโทรหาคุณ
ไม่ต้องตัวติดกัน
แต่เวลา ไม่สบายใจทีไร
เราก็คิดถึงเค้าทุกที พวกนี้จะไม่ค่อยพูด
ไม่แสดงความคิดเห็น ไม่แนะนำ แต่รับฟัง......
แต่เราสบายใจที่จะอยู่ใกล้เขา

ใครบางคนที่แม้ไม่ต้อง คุยอะไรกัน
เราก็ไม่รู้สึกว่ากระอักกระอ่วน
หรือกลายเป็นคนแปลกหน้าระหว่างกัน
เวลาคุณประสบความสำเร็จ...."อืม....."
เวลาคุณประสบความผิดหวัง..." เข้าใจแล้ว......"

3.เพื่อนร่วมอุดมการณ์
เพื่อนพวกนี้จะชอบอะไรบางอย่างเหมือนเรา
อาจจะเป็นงานอดิเรก เช่น สะสมแสตมป์ ( เชยไปเนาะ
ตอนนี้ต้องเป็นสะสมสติกกเกอร์ ก็ยังเชยอยู่ดี.. ว้า
เด็กเดี๋ยวนี้เขาสะสมอะไรกันนะ สงสัยจะสะสมแฟน )

พวกนี้เราคุยกันถูกคอ ไปด้วยกันได้
แต่ขออย่างเดียวเหอะ
อย่าริชอบคนคนเดียวกัน.....ไม่งั้น...
เวลาคุณประสบความสำเร็จ ...... "อืม

แต่อย่าลืมนะว่าวันศุกร์เราต้องไป....ด้วยกัน"
เวลาคุณประสบความผิดหวัง....." แย่จังนะ
แต่ว่าคงไป....กับเราได้นะ"


4. เพื่อนช่างเมาท์ ก็อย่างว่าความลับไม่มีในโลก
ไหน ๆ ก็ไม่มีทางปกปิดความลับได้แล้ว

มีเพื่อนช่างเมาท์ก็ไม่เสียหลาย เราจะได้อินไม่เอาท์
ใครรักใครเกลียดใคร ใครอกหัก ใครทะเลาะกัน รับรองรู้หมด

เวลาคุณประสบความสำเร็จ "ว้าว
อย่างนั้นต้องรีบโทรบอกคนอื่นแล้วล่ะ"
เวลาคุณประสบความผิดหวัง "อืม เราเข้าใจ "
(แต่ในใจเตรียมรายชื่อคนที่จะโทรเมาท์ไว้แล้ว)

5. เพื่อนต่างเพศ พูดง่าย ๆ ก็แฟนอ่ะนะ
ก็เป็นคนสำคัญที่ซู้ด
จะนิสัยยังไงก็ขึ้นอยู่กับว่า
แฟนใครนิสัยยังไง เวลาคุณประสบความสำเร็จ
"ผมรักคุณ"
เวลาคุณประสบความผิดหวัง
"ผมรักคุณ"

แล้ว รีบส่งเมลล์นี้ไปให้เพื่อนของคนอย่างน้อย
5 คน เพื่อให้เค้ารู้ว่า คุณ
ยังเป็นเพื่อนม่ายว่าประเภทใดประเภทหนึ่งของเค้า

ขอขอบคุณบทความดีดี ที่ได้รับจากเมล์ เห็นว่าน่าสนใจ จึงนำมาเผยแพร่ต่อไป

1 ความคิดเห็น:

  1. จะคบเพื่อนคนนี้ต่อไปดีไหม
    ตอนที่เราเข้ามหาลัยใหม่ๆ เราได้รู้จักกับ เจษ ซึ่งเป็นนักศึกษารุ่นพี่ เจ ษรู้จักกับเราก็เพราะอยู่ชุมนุมเดียวกัน ซึ่งชุมนุมนั้นก็จะมีนักศึกษาชั้นปีอื่นๆอยู่อีกหลายคน รวมถึงมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลห้องชุมนุมอีกด้วย ตอนแรกๆเรารู้สึกดีกับทุกๆคนในชุมนุมมาก แล้วเจษก็ชวนเราไปกินข้าวด้วยกันกับเพื่อนๆของเขา แต่ในระหว่างที่กำลังทานอาหารกัน เราก็ชวนเจษกับเพื่อนๆคุย แต่ทว่าพวกเจษกับเพื่อนๆ ไม่หันมาคุยกับเราเลย พวกเขาทำเหมือนกับว่าไม่ได้ยินเสียงเราพูด และเราไม่ได้นั่งอยู่ตรงนั้น แต่พวกเขากับคุยกันเองอย่างสนุกสนาน ตอนนั้นเราก็เริ่มรู้สึกไม่ดีกับพวกเจษ แต่ก็พยายามไม่คิดอะไรมาก แล้วเจษก็ไม่ค่อยโทรหาเรา เจอหน้ากันก็ไม่ค่อยทัก คือเป็นลักษณะที่ว่าเราไม่สนิทกันเลย ต่อมาเมื่อเราอยู่ชุมนุมนี้ไปได้สักปีหนึ่ง เราก็เริ่มเจออะไรหลายๆอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ดีกับชุมนุมนี้และผู้คนใน ชุมนุมมากขึ้นๆทุกที อย่างเช่น การที่พวกรุ่นพี่ชอบพูดจาไม่ดีกับเรา ซึ่งเราก็ไม่อยากว่าอะไรมาก เพราะเห็นว่าเป็นรุ่นพี่ และก็การที่คนในชุมนุมนี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกชอบนินทา ไปๆมาๆในที่สุดเราก็ทนอยู่ชุมนุมนี้ต่อไปไม่ไหว ก็เลยไม่ได้ไปที่ชุมนุมอีก และเราก็ไม่กล้าบอกใครในชุมนุมด้วยว่าเราไปอยู่ชุมนุมไหน เพราะกลัวว่าพวกเขาตจะนินทาอะไรอีก แต่แล้ว เจษที่ไม่เคยแม้แต่จะโทรหาเราเป็นแรมปี ก็กลับโทรมาหาเราทุกวันติดๆกันเกือบ 3 สัปดาห์ เจษบอกว่าเขาอยากรู้ว่าเราไปอยู่ชุมนุมไหน เผื่อว่าเรามีเรื่องเดือดร้อนหรือว่าเราหายไป เขาจะได้ตามมาช่วยได้ถูก ตอนนั้นเรารู้สึกแปลกใจมาก เพราะก็อย่างที่เราว่าไว้ตอนต้นว่าเรากับเจษไม่สนิทกันเลย แต่การที่เจษโทรหาเราทุกวันแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเจษมีจุดประสงค์อื่นมากกว่าที่จะอยากรู้ว่าเราอยู่ ชุมนุมไหน ท่าทางของเจษมันทำให้เรารู้สึกว่า เขากำลังมองว่าเรามีปัญหาอะไร เจษพยายามเค้นให้เราบอกเขา และบังคับให้เราเอาอัตชีวประวัติที่เราเขียนส่งอาจารย์ให้เขาอ่านด้วย ตอนนั้นเรารู้สึกอึดอัดมาก เราไม่อยากให้ใครอ่านอัตชีวประวัติที่เราเขียน ซึ่งเราก็บอกเจษแล้วว่าเราไม่อยากให้อ่าน เรารู้สึกเหมือนโดนบังคับจิตใจอย่างมาก แต่ เจษก็ยังบังคับเราอยู่ดี สุดท้ายเจษก็รู้เรื่องของเราทั้งหมดและได้อ่านอัตชีวประวัติของเราด้วย แต่พอเราพยายามถามเรื่องของเจษบ้าง เจษกลับไม่ยอมบอกอะไรเลย เขาบอกว่าเราเป็นรุ่นน้องก็ต้องบอกรุ่นพี่ แต่รุ่นพี่ไม่จำเป็นต้องบอกรุ่นน้อง ตอนนั้นเรารู้สึกหงุดหงิดมาก เรารู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเลย ทำไมเจษรู้เรื่องของเราได้ แต่ เรารู้เรื่องของเจษไม่ได้ เราพยายามถามเจษอยู่หลายครั้ง แต่เจษก็ปฎิเสธที่จะเล่าเรื่องของตัวเอง แล้วเราก็ถามเจษว่าทำไมถึงอยากรู้ว่าเราไปอยู่ชุมนุมไหน เจ ษก็ไม่ยอมบอกอีก จนสุดท้ายเราก็ไปสืบจนรู้เองว่า พวกที่ชอบนินทาที่เคยอยู่ชุมนุมเดียวกับเรา มันเอาเราไปนินทาทีท่าไหนก็ไม่รู้ แล้วมันก็นินทาว่าเราเป็นบ้า เจ้า หน้าที่ที่ดูแลห้องชุมนุมนั้นก็เชื่อคำนินทาเหล่านั้นซะสนิทใจ พวกเขาคิดว่าเราเป็นบ้าจริงๆ ก็เลยขอร้องให้เเจษ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ที่เรียนอยู่คณะเดียวกับเราช่วยมาดูทีว่าเราเป็นไงบ้าง เป็น บ้าจริงๆหรือเปล่า ทำไมเราถึงไม่มาที่ชุมนุมแล้วล่ะ ซึ่งเจษก็ทำตามคำขอร้องนั้น โดยการโทรมาบังคับให้เราบอกอย่างที่ว่านั่นแหละ โดยไม่บอกวัตถุประสงค์จริงๆกับเรา พอเราถามเรื่องของเจษบ้างก็ไม่เคยบอกเราเลยสักครั้ง เรารู้สึกหงุดหงิดเหลือเกิน เราบอกเจษหลายต่อหลายครั้งว่าเราอยากให้เจษเล่าเรื่องของตัวเองให้เราฟัง บ้าง เพราะเจษก็ได้รู้เรื่องของเราไปเยอะแล้ว แต่เจษก็ปฎิเสธทุกครั้ง เจษเคยบอกว่าอยากเป็นเพื่อนกับเรา แต่เจษก็ไม่เคยแลกเปลี่ยนเรื่องราวของตัวเองกับเราเลย มีแต่เราที่ต้องบอกเรื่องของเรากับเจษ จนในที่สุด เรา หงุดหงิดจนทนไม่ไหว ก็เลยใช้หนังสือเล่มเล็กฟาดเจษไปทีหนึ่ง เจษโกรธเรามาก หาว่าเราเป็นคนไม่ดี แล้วเขาก็บอกว่าที่ผ่านมาเขาทำยุติธรรมกับเราแล้วไม่ได้เป็นการอยุติธรรมอย่างที่เราว่า ถ้า เจ้าหน้าที่คนนั้นไม่สั่งอะไรมา เขาก็ไม่โทรหาเราหรอก เราก็โกรธเจษเหมือนกัน เพราะเรารู้สึกว่าเจษบังคับจิตใจเราอยู่เรื่อย แต่โดนตีแค่นี้หาว่าเราเป็นคนไม่ดี แล้วเวลาที่เจษบังคับเรา ทำทีเป็นว่าต้องการช่วยเหลือเรามากมาย ทั้งๆที่ จริงๆแล้ว เจษแค่ทำตามคำขอร้องของเจ้าหน้าที่คนนั้นเท่าน้นเอง ไม่ได้อยากช่วยเมื่อเราเดิอดร้อนจริงๆซะหน่อย แล้วเจษก็บอกเองว่าถ้าเขาไม่สั่งก็ไม่โทรหาเราหรอก
    เรื่องที่เราเล่ามาทั้งหมดนี้ เราอยากรู้ว่า ตัวเราเองควรคบเจษต่อไปหรือไม่ แล้วเจษมีความจริงใจพอที่เราจะคบได้ไหม

    ตอบลบ